วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555
งานวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2012
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ช่วงนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่ค่อยหนาวมากเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาวันนี้ท้องฟ้าสว่างสดใส หลังจากที่มืดมัวมาหลายวันแล้ว บางบ้านก็เริ่มเตรียมทำความสะอาดสวน หรือเตรียมทำสวนกัน แต่ก็เอาแน่อะไรไม่ได้ อากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เราคิดซะอีก แต่คนสวิสมักจะเห่อเช่นนี้เสมอ พออากาสดีหน่อยก็จะรีบทำสวนกัน.....
วันนี้ฉันคิดว่าจะนำท่านผู้อ่านไปชมวัดอีกสักแห่งเป็นการปิดท้ายปีเก่าสำหรับบล็อกนี้ ปีใหม่ก็จะเล่าเรื่องใหม่ ๆ สู่กันฟังอีกจ๊ะ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่ได้ติดตามอ่านบทความของฉันมาโดยตลอด เมื่อต้นเดือนธันวานี้ ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญเนื่องในวัดลอยกระทงและวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันนั้นเป็นวันแรกของฤดูหนาวที่มีหิมะตกในตอนเช้าอย่างมากมาย ปรกติเราจะออกไปเดินตามสวนสาธารณะหรือไม่ก็ไปเดินบนเขาใกล้ ๆ บ้าน วันนั้นหิมะตกสูงมากแทบจะเอารถออกจากอู่ไม่ได้ ต้องกวาดหิมะกันเป็นงานใหญ่ ในเมื่อไม่รู้จะไปไหนดีก็เลยตกลงไปวัดดีกว่า ได้ไปทำบุญด้วย พอไปถึงสถานที่งานก็ยังไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก เพราะคนส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัดและการเดินทางไม่ค่อยจะสะดวกนัก แต่พอตอนสาย ๆ สักหน่อยผู้คนก็เต็มไปหมด วันนี้ก็มีรูปภาพสวย ๆ มาฝากด้วยจ๊ะ
วัดศรีนครินทรวราราม สวิตเซอร์แลนด์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
..........................................
ป้ายกำกับ:
งานวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2012
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ชมวัดห้วยมงคลและกราบนมัสการหลวงปู่ทวด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
นี่่ก็ใกล้จะสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลืออีกเพียงแค่ ๔ วัน ก็จะเริ่มปีศักราชใหม่แล้วนะคะ ท่านคิดจะไปทำบุญทำทานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่วัดไหนคะ ถ้ายังไม่ทราบจะไปวัดไหนดี วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำวัดที่น่าสนใจยิ่งวัดหนึ่ง คือ วัดห้วยมงคล ที่นั่นมีองค์เหมือนของหลวงทวดใหญ่ที่สุด ฉันได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่มาแล้ว ประทับใจมาก ๆ เลย องค์เหมือนของหลวงปู่ใหญ่โตมาก มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่หลั่งไหลไปกราบนมัสการกันไม่ขาดสาย ไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนิกชนเท่านั้น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก พากันไปชมความวิจิตรและความยิ่งใหญ่ขององค์หลวงปู่ก็ไม่น้อยเลย สถานที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่ ในบริเวณรอบ ๆ ได้จัดเป็นสวนหย่อมสวยงามมากสำหรับเป็นที่พักผ่อนแก่ผู้ไปชมหลวงปู่
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานองค์เหมือนของหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เดิมชื่อว่า "วัดห้วยคด" ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคด ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดห้วยมงคล" ซึ่งปัจจุบันได้ใช้เป็นชื่อหมู่บ้าน วัด โรงเรียนและโครงการต่างๆ มากมาย
หลวงปู่ทวดหรือสมเด็จพะโคะ เป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ คงจะมีส่วนน้อยที่ไม่เคยรู้จักหไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและกิตติคุณ หรือความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน หลวงปู่ทวดมีอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มากมาย คนส่วนใหญ่จะรู้จักหลวงปู่ ในนามว่า "สมเด็จหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวพุทธที่มีต่อหลวงปู่ทวด ทางฝ่ายภาครัฐและฝ่ายเอกชนจึงได้ร่วมกันสร้างองค์เหมือน "หลวงปู่ทวด" องค์มหึมาขึ้น ณ วัดห้วยมงคล เพื่อน้อมเกล้ากระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๖ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
องค์เหมือนของหลวงปู่ทวด เป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างด้วยเนื้อโลหะผสม งดงามอลังการมาก มีขนานหน้าตักกว้าง ๙.๙ เมตร สูง ๑๑.๕ เมตร บนฐานสูง ๓ ชั้น ชั้นล่างกว้าง ๗๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร นอกจากนี้พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนาภิไธยย่อ "ส.ก." ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงปู่ด้วย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
...........................................
นี่่ก็ใกล้จะสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลืออีกเพียงแค่ ๔ วัน ก็จะเริ่มปีศักราชใหม่แล้วนะคะ ท่านคิดจะไปทำบุญทำทานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่วัดไหนคะ ถ้ายังไม่ทราบจะไปวัดไหนดี วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำวัดที่น่าสนใจยิ่งวัดหนึ่ง คือ วัดห้วยมงคล ที่นั่นมีองค์เหมือนของหลวงทวดใหญ่ที่สุด ฉันได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่มาแล้ว ประทับใจมาก ๆ เลย องค์เหมือนของหลวงปู่ใหญ่โตมาก มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่หลั่งไหลไปกราบนมัสการกันไม่ขาดสาย ไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนิกชนเท่านั้น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก พากันไปชมความวิจิตรและความยิ่งใหญ่ขององค์หลวงปู่ก็ไม่น้อยเลย สถานที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่ ในบริเวณรอบ ๆ ได้จัดเป็นสวนหย่อมสวยงามมากสำหรับเป็นที่พักผ่อนแก่ผู้ไปชมหลวงปู่
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานองค์เหมือนของหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เดิมชื่อว่า "วัดห้วยคด" ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคด ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดห้วยมงคล" ซึ่งปัจจุบันได้ใช้เป็นชื่อหมู่บ้าน วัด โรงเรียนและโครงการต่างๆ มากมาย
หลวงปู่ทวดหรือสมเด็จพะโคะ เป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ คงจะมีส่วนน้อยที่ไม่เคยรู้จักหไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและกิตติคุณ หรือความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน หลวงปู่ทวดมีอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มากมาย คนส่วนใหญ่จะรู้จักหลวงปู่ ในนามว่า "สมเด็จหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวพุทธที่มีต่อหลวงปู่ทวด ทางฝ่ายภาครัฐและฝ่ายเอกชนจึงได้ร่วมกันสร้างองค์เหมือน "หลวงปู่ทวด" องค์มหึมาขึ้น ณ วัดห้วยมงคล เพื่อน้อมเกล้ากระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๖ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
องค์เหมือนของหลวงปู่ทวด เป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างด้วยเนื้อโลหะผสม งดงามอลังการมาก มีขนานหน้าตักกว้าง ๙.๙ เมตร สูง ๑๑.๕ เมตร บนฐานสูง ๓ ชั้น ชั้นล่างกว้าง ๗๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร นอกจากนี้พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนาภิไธยย่อ "ส.ก." ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงปู่ด้วย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
...........................................
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ท่านเคยไปเที่ยววัดถ้ำเสือ ที่ จ.กระบี่ กันหรือยังคะ ? ถ้ายังไม่เคยไปหรือยังไม่เคยรู้จักเลย วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำให้รู้จักกันหน่อย เพราะเหตุว่าวัดนี้มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมาก ๆ ฉันไปมาแล้วเมื่อเดือนมีนา ศกนี้ ได้ไปโดยบังเอิญ เพราะว่าตั้งใจจะไปพักผ่อนที่กระบี่ บังเอิญนึกขึ้นได้ว่า ที่เมืองกระบี่มีวัดชื่อ "ถ้ำเสือ" หลวงพ่อจำเนียร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น ฉันได้มีโอกาสทำบุญถวายเพลกับท่านที่บ้าน (สมาคมไทย - กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) ที่สวิตเซอร์แลนด์ ครั้งนั้นท่านมีพระลูกศิษย์จากต่างประเทศติดตามไปด้วย ๓ รูป ครั้งแรกที่ได้กราบท่าน ฉันรู้สึกทึ่งในวาระจิตของท่านมาก ท่านได้ถามน้องสาวฉันว่า "โยมเหมือนในรูปไหม" ท่านทราบว่าน้องสาวฉันกำลังคิดในใจว่า "หลวงพ่อจำเนียรองค์จริงหรือปล่าว" แล้วท่านก็ถามขึ้นมาลอย ๆ น้องสาวตกใจพร้อมกับตอบอย่างรวดเร็วว่า "เหมือนค่ะ " ท่านเมตตาพวกเรามากทีเดียว ได้มอบเหรียญวัตถุมงคลหลายชนิด ไว้ให้พวกเราบูชาและคุ้มครองป้องกันตัว หลังจากนั้นก่อนที่ท่านจะกลับเมืองไทย ฉันได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงจำเนียรอีกครั้ง และได้มีเวลาสนทนาธรรมกับท่านเป็นชั่วโมง ท่านได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และได้แนะนำเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความรู้ต่างระดับ ต่างความสามารถ ซึ่งหมายถึงงานของสมาคม เมื่อฉันได้มีโอกาสไปถึงเมืองกระบี่ จึงนึกถึงหลวงพ่อ อยากจะไปกราบท่านและไปชมวัดด้วย ท่านบอกว่าที่วัดมีพระแม่กวนอิมองค์ใหญ่มาก ในที่สุดฉันก็ได้ไปวัดถ้ำเสือดังใจปรารถนา แต่ว่าเราไปถึงตอนค่ำแล้ว มัวแต่ไปหลงทางวนเวียนอยู่หลายรอบ หาป้ายเข้าวัดไม่เจอสักที วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่วัด เราก็เลยได้แค่เดินชมวัดและถ่ายรูปภาพมาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ
วัดถ้ำเสือตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ้านถ้ำเสือ ต.กระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ พื้นที่บริเวณวัดประมาณ ๒๐๐ ไร่ เป็นพื้นที่ราบ หุบเขาและยอดเขา ชื่อวัดถ้ำเสือนั้นมีข้อสันนิษฐานว่า ในอดีตที่บริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่ ภายในถ้ำยังมีร่องรอยอุ้งเท้าเสือปรากฏอยู่บนหิน ส่วนความเป็นมาของวัดนี้ น่าจะมาจากพระธุดงค์ที่เดินทางจาริกผ่านมาสถานที่แห่งนี้ และได้อาศัยอยู่ตามถ้ำเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม ต่อมาชาวบ้านเกิดความศรัทธาเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการก่อสร้างวัดขึ้นมาในเวลาต่อมา
วัดถ้ำเสือมีเป็นวัดที่ร่มรื่นและสงบ แวดล้อมด้วยต้นไม้ให ญ่ มีเขาล้อมรอบอยู่ทุกด้าน มีสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญถึงสองสมัย คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายอย่าง เช่น เครื่องมือหิน พระพิมพ์ดิบ สิ่งก่อสร้างที่สำคัญได้แก่ พระอุโบสถ พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ หอประชุม รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว พระพุทธรูปหยกขาว องค์พระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่วัดนี้มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยจำนวนมาก และมีลิงตัวเล็ก ๆ มากด้วย เพราะที่นั่นมีลักษณะเป็นสวนป่า จึงเป็นที่อยู่อาศัยของลิงป่า
ขอเชิญชมรูปภาพ วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
ป้ายกำกับ:
วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ชมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ทุกท่านสบายดีมั้ยคะ นี่ก็ใกล้จะหมดปีมะโมง หรือ ปี พ.ศ.2555 แล้ว บางท่านก็อาจจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะไปทำบุญทำทานตักบาตรไหว้พระ เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว บางท่านก็ยังไม่ทราบจะทำอะไรดี หรือจะไปที่ไหนดีในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ถ้ายังไม่ทราบว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ฉันขอแนะนำสถานที่ที่น่าไปเที่ยวและไปทำบุญทำทานด้วย ก็คือไปเที่ยวตามวัดต่าง ๆ ได้ทั้งความเบิกบานใจ อิ่มใจ ได้ชมความสวยงามของพระพุทธรูปอันเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า ได้ชมความงามของวัดและปูชนียสถานภายในวัด แต่ละแห่งก็มีศิลปะและมีความวิจิตรพิสดารไม่เหมือนกัน ล้วนแต่น่าชมทั้งนั้น ตัวอย่าง เช่น ไปชมพระบรมธาตุไชยา ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในวัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำท่านไปรู้จักกับ "วัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร" จังหวัดสุราษฏร์ธานี บางท่านก็คงจะยังไม่เคยไปทางภาคใต้ ก็ชมรูปภาพกันก่อนนะคะ เมื่อโอกาสก็ไปชมของจริง
วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนรักษ์นรกิจ หมู่ 3 ตำบลเวียง อำเภอใชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุราษฏร์ธานี และเป็นหนึ่งในสามของโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เคารพบูชาของภาคใต้ ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฏร์ธานี, พระเจดีย์พระมหาธาตุวัดพระธาตุวรมหาวิหาร จ. นครศรีธรรมราช และพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำคูหาภิมุข บริเวณวัดคูหาภิมุข จ.ยะลา
วัดพระบรมธาตุไชยา เป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุไชยา โรงเรียนสงฆ์ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไชยา
ประวัติวัดพระบรมธาตุไชยา
วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร สร้างเมื่อ พุทธศตวรรษที่ 13-14 ในสมัยศรีวิชัย มีโบสถ์หันไปทางทิศตะวันตก เป็นโบราณสถาน รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็ก 4 ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคต ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ขนาดต่าง ๆ โดยรอบทั้ง 4 ด้าน เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้า ภาพเจดีย์พระบรมธาตุเป็นสัญลักษณ์ในดวงตราประจำจังหวัดสุราษฏร์ธานี และเป็นสัญลักษณ์ในธงประจำกองลูกเสือจังหวัดสุราษฏร์ธานี พระเจดีย์พระบรมธาตุมีความสูงจากฐานใต้ดินถึงยอด 24 เมตร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดเจดีย์ที่เดิมหักลงมาถึงคอระฆัง พระพุทธรูปทำด้วยศิลาสูง 104 เซ็นติเมตร ปางสมาธิประทับอยู่บนฐานบัว มีอายุอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 11-12 แสดงถึงอิทธพลศิลปอินเดีย แบบราชวงศ์คุปตะ สกุลช่างสารนาถ ในพุทธศตวรรษที่ 14 ได้สร้างพระโพธิสัต์อวโลกิเตศวร (พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี) สองกรสำริด ประติมากรรมในชวา (ประเทศอินโดนีเซีย) ภาคกลาง จารึกหลักที่ 23 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสกุลวงศ์ ของกษัตริย์แห่งศรีวิชัย (ไชยา) และราชวงศ์ไศเลนทรในชวาภาคกลาง ในพุทธศตวรรษที่ 15 ได้สร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสองกรศิลา ศิลปะจามพุทธ และในสมัยอยุธยาได้สร้างพระพุทธรูปศิลาทราย ศิลปะอยุธยา สกุลช่างไชยา
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
ป้ายกำกับ:
ชมวัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ชมพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช
สวัดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศหนาวมาก ๆ เลย มีหิมะตกทั่วประเทศ ปีนี้หิมะตกมากกว่าเมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมา ที่บริเวณบ้านฉันหิมะท่วมสูงประมาณ ๓๐ ซ.ม. ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างโดนหิมะปกคลุมขาวสว่างไปหมด ก็สวยไปอีกแบบ แต่วันนี้อากาศเล่นตลก ฝนตกหนักทั้งวันหลังจากที่มีหิมะตกทุกวันเป็นเวลา ๑ สัปดาห์เต็ม หิมะเจอฝนก็ต้องแพ้ฝนอย่างแน่นอน ต้องละลายสลายตัวอย่างรวดเร็ว ความหนาวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากที่หนาวเย็นมาก ๆ ก็กลายเป็นความหนาวชื้นเข้ามาแทน ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ ถ้าเราเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะมีอากาศอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต....เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่านผู้อ่าน ฉันก็จะขอเริ่มบทความเลยนะคะ
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่นครศรีธรรมราช ที่ฉันนำมาเล่าสู่ท่านฟังในวันนี้ ฉันเองก็เพิ่งเคยไปชมและได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุเจดีย์ วัดนี้เป็นสถานที่เก่าแก่โบราณ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่สำคัญและเป็นมิ่งขวัญของเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งพุทธศานิกชนด้วย ชาวเมืองนครเรียกวัดนี้ว่า "วัดพระธาตุ" พระธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัด เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ในพระธาตุเจดีย์เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนับว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ปัจจุบันได้รับการประกาศจดทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร พระธาตุเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีลักษณะที่เด่นคือยอดพระเจดีย์ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า องค์พระธาตุเจดีย์หุ้มด้วยทองรูปพรรณและของมีค่ามากมายทั้งองค์นั้น ได้มาจากความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีความแปลกเป็นพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือ มีเจดีย์องค์เล็ก ๆ เป็นบริวารองค์เล็ก ๆ เรียงรายล้อมรอบองค์พระเจดีย์ รวมทั้งหมด 149 องค์ เป็นเจดีย์ที่เหล่าลูกหลานของบรรพบุรุษได้สร้างไว้สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ เพื่อสำหรับบรรจุอัฐิของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และขออธิษฐานขอให้ญาติได้มาเกิดในพุทธศาสนาอีกในภาพหน้า นอกจากนั้นยังมีความแปลกอีกอย่าง คือ องค์พระธาตุเจดีย์นี้ไม่มีเงาทอดลงพื้น ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบด้านใดก็ตาม นับเป็นความอัศจรรย์ซึ่งยังไม่มีผู้ใดให้เหตุผลได้
ที่วัดนี้มีพิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การนำผ้าขึ้นธาตุ หรือถวายแก่องค์พระธาตุ ตามตำนานความเชื่่อของคนสมัยก่อนว่า หากผู้ใดได้นำผ้าขึ้นธาตุและเดินเวียนประทักษิณ (๓ รอบ) ณ ลานประทักษิณ ก็จะเป็นเสมือนดังการเข้าสู่นิพพานกลาย ๆ ถ้าอธิษฐานจิตขอพร ก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนได้อธิษฐานไว้ ทุก ๆ ปี ในวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชาจะมีงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ่งถือกันว่าเป็นงานบุญประจำปีของวัดนี้
ประวัตวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิด "วรมหาวิหาร" เป็นพุทธาวาสประจำเมือง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา เป็นธุระของชาวเมือง เจ้าเมืองและคณะสงฆ์ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไปในภาคใต้ ได้ร่วมมือกันบำรุงรักษา เป็นวัดนิกายเถรวาท มีองค์พระประธานชื่อ
พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช
เมื่อ พ.ศ. 854 เจ้าชายทนทกุมาร และพระนางเหมชาลา และบาคู (แปลว่า นักบวช) ชาวศรีลังกาได้สร้างวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช) พระเจดีย์องค์เดิม เป็นเจดีย์แบบศรีวิชัย คล้ายเจดีย์กิริเวเทระ ในเมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา.....พ.ศ.1093 พระเจ้าจันทรภาณุได้
สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับการก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นเจดีย์แบบศาญจิ.....พ.ศ.1770
พระเจ้าจันทรภาณุ ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์แบบลังกา ทรงระฆังคว่ำหรือโคว่ำ มีปล้องไฉน 52
ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี 37 วา 2 ศอก ยอดปลีของปล้องไฉน หุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา(เท่ากับ 2 เมตร) 1 ศอก (เท่ากับ 0.50 เมตร) แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่ง (เท่ากับ 960 กิโลกรัม) รอบพระมหาธาตุ มีเจดีย์ 158 องค์.....ในปี พ.ศ. 2155 และ พ.ศ. 2159
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการซ่อมแผ่นทองที่ปลียอดพระบรมธาตุ.....ปี พ.ศ. 2190 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราทอง ยอดพระบรมธาตุได้ชำรุดหักลง และได้มีการบูรณะสร้างใหม่.....ปี พ.ศ. 2275- 2301 lสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีการดัดแปลงทางเข้าพระสถูปพระบรมธาตุบริเวณวิหารพระทรงม้า.....พ.ศ. 2312 สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ปฏสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตรต่ออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระธาตุ.....สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัด) ได้บูรณะพระวิหารหลวง วิหารทับเกษตร พระบรมธาตุที่ชำรุด ได้มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษตร วิหารธรรมศาลา วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน ปิดทองพระพุทธรูป.....ในปี พ.ศ 2457 สมัยพระบทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยูหัว ได้ติดตั้งสายล่อฟ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์......ปี พ.ศ. 2515 . 2517 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และพระอุโบสถ.....พ.ศ. 2530 ซ่อมแซมกลีบบัวทองคำที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น ในวันที่ 28 สิงหาคม 2530
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำขึ้นประดิษฐานบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์....พ.ศ. 2537 - 2538 บรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด ใช้งบประมาณทั้งสิ้น
50 ล้านบาท สิ้นทองคำ 141 บาท (มาตราชั่ง ตวง วัด ของไทย 1 บาท เท่ากับ 15.2 กรัม)......กรมศิลปากรได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2479
ป้ายกำกับ:
ชมพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช
วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ศาลเจ้าแม่ทับทิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
วันนี้พบกันอีกเช่นเคยนะคะ แต่เรื่องราวที่ฉันจะนำมาเล่าสู่กันฟังคราวนี้ ไม่เช่นเคยหรอกนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "ศาลเจ้าแม่ทับทิม" ซึ่งตั้งอยูที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นศาลที่เก่าแก่โบราณมากแห่งหนึ่ง มีผู้ศรัทธาไปกราบไหว้ขอพรท่านแม่ทับทิมอย่างไม่ขาดสาย ฉันเองก็เคยไปกับสามีมาแล้วถึง ๒ ครั้ง เวลานั่งเรือชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทีไร ก็อดที่จะไปแวะกราบท่านแม่ทับทิมไม่ได้ ศาลท่านสงบและร่มเย็นดี ฉันคิดว่าบางท่านก็อาจจะยังไม่เคยเห็นศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ หรือยังไม่เคยไป วันนี้ก็ชมรูปกันไปก่อนนะคะ แต่ก่อนที่จะชมรูปภาพ ก็จะขอแนะนำประวัติย่อ ๆ ของเจ้าแม่ทับทิมด้วยจ๊ะ เพื่อท่านผู้อ่านที่ศรัทธาเลื่อมใสท่านแม่ทับทิม จะได้ปฏิบัติบูชาท่านอย่างถูกต้อง
ประวัติเจ้าแม่ทับทิม หรือ มาจอโปํ หรือเจ้าแม่เทียนโหวโจวโกว ซึ่งได้มีการบันทึกไว้มากมายหลายตำรา ทั้งที่เป็นการบันทึกของทางราชสำนักเป็นจดหมายเหตุ และการบันทึกของขุนนางเสนาบดีในพระราชสำนักของจีน เอกสารที่ได้บันทึกไว้ล้วนเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าแม่ทับทิม มีนามเดิมว่า หลินโม่เหนียง เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ เดือน ๓ ตามจันทรคติจีน พ.ศ.๑๕๐๓ ตรงกับปฐมราชวงศ์ซ่ง สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซ่งไท่จู่ หรือ เจ้าควงอิ้น เป็นปีเจี้ยนหลงที่หนึ่ง บิดามีนามว่า หลินเอวียนกง มารดามีนามว่า เฉินซื่อ บางตำนานว่า หวางซื่อ,,,,,,,สถานที่เกิดคือ เกาะเหมยโจว ซึ่งขึ้นกับเมืองจิงหัว หรือเมืองพูเถียนในปัจจุบันเป็นมณฑลฝูเจี้ยน หรือ ฮกเกี้ยน.......บรรพบุรุษที่สำคัญของหลินโม่เหนียงคือ หลินลู่กง (ลก) หรือ จินอานอํอง (หลิมฮู้ไท่ซือ หรือ หลินโหวไท่โส่ว กำเนิดเมื่อ พ.ศ. ๘๑๗ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๘๙๙ ) คนสกุลหลินถือว่าท่านเป็นปฐมวงศ์แห่งสกุลหลินสายฮกเกี้ยนที่กระจายไปตามมณฑลใกล้เคียง ตลอดจนขยายไปตามประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ .........หลินโม่เหนียง เป็นอีกท่านหนึ่งที่สืบสายสกุลหลินแห่งมณฑลฮกเกี้ยน เธอเป็นโหลนลำดับที่ ๗ ของเท่าน....สื่อจุงกุง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสี่ยวโจว ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.๑๑๕๑-๑๔๔๐) ท่านบิดาของทวดคือ ท่านอี้กง เป็นเจ้าเมืองเกาโจวจิว และท่านทวดคือ ปอกิกกง เป็นแม่ทัพสมัยห้าราชวงศ์ แห่งราชวงศ์โจวครั้งหลัง คือสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซื่อจง และสมเด็จพระจักรพรรดิกงตี้ ทั้งสองพระองค์นี้ ความจริงสืบสายสกุลแซ่หลิน แต่ท่านใช้แซ่ไฉ (ฉั่ว) ขณะครองบัลลังค์ ด้วยเหตุผลทางการเมือง ท่านปอกิกกงได้ลาออกจากราชการ และอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่บริเวณชายทะเลเซียงเหลี่ยงกัง
แห่งมณฑลฝูเจี้ยน.......บุตรชายคนหนึ่งของท่านปอกิกง คือ ฮูกง ซึ่งเป็นปู่ของหลินโม่เหนียง ได้เป็นข้าหลวงใหญ่แห่งมณฑลฝูเจี้ยน ท่านเอวียนกงเคยรับราชการในสำนัก ต่อมาได้อพยพไปอยู่เกาะเหมยโจว.....ท่านเอวียนกงและภรรยา มีบุตรทั้งหมดหกคน เป็นชาย ๕ คน คนสุดท้องเป็นหญิงคือ ซามปัํว มารดาอยากได้ลูกผู้หญิงอีกสักคน จึงได้สวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม ขอให้ได้ลูกเป็นผู้หญิง ในคืนวันนั้นมารดาได้ฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมได้เสด็จมาหา พร้อมกับมอบดอกไม้ให้ดอกหนึ่ง และให้รับประทาน หลังจากนั้นต่อมามารดาก็ตั้งครรภ์ เมื่อตอนคลอดได้มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ยิ่ง บริเวณห้องนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้ามากทั้งห้อง พร้อมด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้อบอวล นอกจากนั้นชาวบ้านยังได้เห็นแสงสว่างเจิดจ้า จากท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย และปรากฏว่าเป็นเด็กแข็งแรงมีสุขภาพสมบูรณ์และไม่ร้องไห้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากลืมตาดูโลกแล้ว บิดามารดาจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า "โม่" แปลว่า "เงียบขรึม"
หลินโม่เหนียงเป็นเด็กที่ฉลาดมากและมีพลังจิตเป็นพิเศษ เมื่อเธออายุได้ ๑๕ ปี ได้รับถาดทองเหลืองจากอสุรกายซึ่งโผล่ขึ้นมาจากสระน้้ำที่เธอและเพื่อน ๆ ได้ไปมองดูเสื้อผ้าของตนในน้ำแทนกระจก เมื่อเพื่อนเห็นอสุรกายโผล่ขึ้นมา ก็ตกใจกลัวจึงพากันหนีไป ส่วนหลินโม่เหนียงไม่กลัวจึงรับเอาถาดมาด้วยความกล้าหาญ จึงทำให้เธอมีพลังวิเศษมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เธอมีความสามารถในการคาดการณ์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และมีความรู้เกี่ยวกับสภาพฟ้าอากาศของท้องถิ่นด้วยการศึกษาดาราศาสตร์ เธอจึงประกาศให้ชาวประมงและนักเดินเรือ ได้รู้ก่อนที่พวกเขาจะออกทะเล คนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็ยอมรับในคำทำนายของเธอ นอกจากนั้นเธอยังมีความสามารถในการรักษาความเจ็บไข้ของชาวบ้านได้ด้วย รอบรู้เรื่องสมุนไพร จนกลายเป็นหมอประจำบ้านแห่งเกาะเหมยโจวตั้งแต่นั้นมา น่าเสียดายที่หลินโม่เหนียงเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ไม่ทราบแน่นอนว่าเมื่ออายุเท่าไหร่ เพราะบางตำราว่าเสียชีวิตเมื่ออายุ ๑๘ ปี บางตำราว่าเมื่อ ๒๘ ปี
สาเหตุของการถึงแก่กรรมของหลินโม่เหนียง
มีกล่าวกันไว้หลายสาเหตุ เช่น สาเหตุ ๑. คือ การกินเจตลอดชีวิต ทำให้ขาดสารอาหาร จึงเจ็บป่วยถึงเสียชีวิต แต่สาเหตุนี้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย.....สาเหตุที่ ๒. คือ นางหลับไม่ตื่น ในวันนั้นได้มีปกฏิหาริย์พิเศษ ชาวบ้านได้เห็นเมฆหลากสีบนท้องฟ้า ซึ่งคนจีนเรียกว่า เซี้ยงฮุ้ง เป็นเมฆมงคลลอยมาจากภูเขาใกล้ ๆ และได้ยินเสียงมโหรีแว่ว ๆ อยู่เป็นเวลานานพอสมควร.....สาเหตุที่ ๓. ก่อนการเสียชีวิตนางได้ฝันว่าบิดาและพี่ชายออกทะเลไปหาปลา แล้วประสบกับพายุใหญ่ นางได้พยายามจะออกไปช่วย ขณะที่กำลังจะช่วยได้สำเร็จ มารดาของนางได้มาปลูกให้ตื่นเสียก่อน หลังจากนั้น ๒ วัน ฝันของนางก็ได้เป็นจริง บิดาและพี่ชายของนางออกทะเล ประสบกับพายุหนักและคลื่นใหญ่ทำให้เรือล่มจมหายไป เธอเสียใจมาก ที่ไม่สามารถช่วยบิดาและพี่ชาย ซึ่งเป็นบุคคลที่รักยิ่งได้ นางได้ตรอมใจตายในที่สุด
ชาวบ้านที่มีความรักใคร่และเคยได้รับความช่วยเหลือจากนางเสมอมา ต่างก็พากันยกย่องให้เป็น "หม่าโจ้ว" แปลว่า "เจ้าแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์" จึงได้สร้างศาลเจ้าเพื่อกราบไหว้ ต่อมาได้มีคนท้องถิ่นอื่นสร้างศาลเจ้าให้เจ้าแม่ตาม ๆ กัน อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา เพราะเหตุว่ามีความศรัทธาและนับถือเจ้าแม่มากขึ้น.....มีตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. ๑๕๐๓ - ๑๘๒๒ ) การค้าทางทะเลกับต่างประเทศของชาวจีนแถบมณฑลฮกเกี๋ยนเจริญมาก เวลาที่เรือเกิดประสบภัย ชาวจีนนิยมสวดมนต์ถึงหม่าโจ้ว แล้วก็มักจะรอดภัยเสมอ.....ครั้งหนึ่งประมาณปี พ.ศ. ๑๖๖๕ ซ่งอุยฮ่องเต้ ได้ส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเกาหลี ขณะเดินทางโดยเรือ ขบวนเรือของคณะทูตได้ประสบกับพายุกลางทะเล ขบวนเรือทั้งหมด ๘ ลำ ได้จมหายไป ๗ ลำ เหลือรอดเพียงลำเดียว ซึ่งเป็นลำที่ทูตลู่หยุนตี้โดยสารอยู่ ท่านทูตดีใจและตื้นตันใจมากที่รอดตายมาได้ ถึงกับรำพึงออกมาดัง ๆ ว่า "เป็นเทพเจ้าองค์ใดหนอ ที่มาช่วยชีวิตไว้" ลูกเรือคนหนึ่งเป็นชาวฮกเกี๋ยน ได้ตอบไปทันใดว่า "เป็นเจ้าแม่หม่าโจ้วมาช่วยเป็นแน่แท้" เมื่อทูตลู่หยุนตี้กลับถึงจีน ได้กราบทูลเรื่องราวการผจญภัยแล้วรอดตายอย่างอัศจรรย์ให้ฮ่องเต้งฟัง ฮ่องเต้ได้ประทับใจมากและโปรดให้อาลักษณ์เขียนป้ายคำว่า "ซุ่นจี้" แปลว่า ช่วยเหลือ สงเคราะห์ พระราชทานให้ไปติดไว้ที่หน้าศาลเจ้าแม่บนเกาะหมีจิว พร้อมพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านผู้หญิงซุ่นจี จากนั้นมาความนับถือและความศรัทธาในเจ้าแม่ทับทิม ก็เข้าสู่ราชสำนักของฮ่องเต้ ความศรัทธาในเจ้าแม่ทับทิมเพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะที่มณฑลฮกเกี๋ยนซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน ตลอดจนท้องถิ่นใกล้เคียงในแถบนั้น และแถบทุกจังหวัดและทุกอำเภอจะมีศาลเจ้าแม่ทับทิม ทั่วแผ่นดินจีนในท้องถิ่นที่อยู่ติดกับทะเลหรือแม่น้ำ จะมีศาลเจ้าแม่ทับทิมมากมาย
การบูชาเจ้าแม่ทับทิม..... บูชาด้วยผลไม้สุก ถ้าเป็นทับทิมจะดีมาก ๆ บูชาด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ แล้วกล่าวนามของเจ้าแม่ "โอม เจ้าแม่ทับทิม" กล่าวด้วยความเคารพและด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ เมื่อปรารถนาจะให้ท่านเมตตาช่วยเหลือในยามทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เล่าเรื่องความทุกข์นั้นให้ท่านฟัง จากนั้นก็เจริญความสงบจิตสักครู่ถวายท่าน ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่ที่กรรมหนักหรือกรรมเบาที่ท่านได้กระทำไว้แล้ว
ศาลเจ้าแม่ทับทิม |
ดอกไม้ในบริเวณหน้าศาลเหลืองอร่าม |
สถานที่ประทับเจ้าแม่ทับทิม |
สะพานทางสู่ศาลเจ้าแม่ทับทิม |
ท่านใดต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าแม่ทับทิมมากกว่านี้ ก็ค้นคว้าเองเพิ่มเติบได้นะจ๊ะ......โอกาสหน้าพบกันอีกค่ะ
ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
ป้ายกำกับ:
ศาลเจ้าแม่ทับทิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)