วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระธาตุเสด็จ


ธาตุกายสิทธิ์จากเทวดา
เรื่องเกี่ยวกับพระธาตุและธาตุกายสิทธิ์นี้  เป็นเรื่องลึกลับและมหัศจรรย์หรือจะว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงก็ได้  เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถบอกหรือกำหนดได้ว่า  ท่านจะเสด็จมากี่องค์  จะเสด็จเวลาไหน ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า  พระธาตุเสด็จมาได้อย่างไร  ทราบแต่ว่าผู้ที่จะมีบุญได้พระธาตุ  ไว้สำหรับบูชานั้น  จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระสัมมามัมพุทธเจ้า คือ ทาน ศีล สมาธิ  ปัญญา ถ้าได้พระธาตุหรือธาตุกายสิทธิ์มาแล้ว บูชาหรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่รักษาศีล  ไม่ทำบุญทำทานและไม่สวดมนต์ปฏิบัติธรรมตามกาล  พระธาตุหรือธาตุกายสิทธ์นั้น ก็จะเสด็จกลับหรือหายไปได้อย่างลึกลับ  เพราะเหตุว่าท่านเสด็จมาเองได้  ก็หายไปเองได้เช่นกัน

พระธาตุจากเมืองบาดาล
ฉันได้ฝึกพลังจิตมาหลายปีและฝึกหลายอย่างหลายวิชชาจากครูบาอาจารย์เทวดา  เคยลองอธิษฐานจิต ขออัญเชิญพระธาตุให้เสด็จมาลงในพาน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเสด็จมาสักองค์เดียว คงจะเป็นเพราะว่าความดียังไม่มากพอ  เทวดาเลยไม่โปรดมั้ง หรือว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้ของบูชาจากเทวดา แค่ทดลองดูว่า "พระธาตุเสด็จ" จะมีจริงอย่างที่เคยอ่านหนังสือโลกทิพย์โลกลี้ลับหรือไม่ บางคนเขามีพระธาตุเสด็จมาลงในพานหรือลงในสถานที่ ๆ เตรียมไว้  เสด็จมาเยอะแยะมาก  ฉันก็นึกอยากจะเห็นอยากจะได้บ้าง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความอยากนี้ ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านว่าจิตเป็นอกุศล จิตมีสภาพติดข้องต้องการ เป็น "โลภจิต"  ถึงยังไงก็ยังออกจากความติดข้องต้องการไม่ได้ง่าย ๆ  หรอก  ชีวิตคนเราแต่ละวัน  หนีไม่พ้นความติดข้องยินดีพอใจในสิ่งต่าง ๆ ที่มาปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  แต่เราก็สามารถศึกษาและอบรมฝึกจิตได้ ด้วยการสะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่เกิดกับจิตตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเกิดปัญญาในขั้นสูงขึ้น จิตก็จะสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้  คงต้องใช้เวลาอีกนานนับหลายภพหลายชาติ

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ พระอาจารย์วัชระ แห่งวัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี ได้มาโปรดญาติโยมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก ฉันได้นิมนต์ท่านไปโปรดญาติโยมที่บ้านฉัน (สมาคมไทย-กวนอิมฒสวิตเซอร์แลนด์) วันนั้นมีผู้คนมาให้ท่านโปรดปัดเป่าร่วมยี่สิบคน ใคร ๆ ก็รู้จักท่านในนามพระเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้าน "สาวน้ำตาเทียนมงกุฏพระพุทธเจ้า" และรักษาโรคกรรม ท่านก็เมตตารักษาให้ ท่านได้จำวัดที่บ้านฉัน ๑ คืน

เหล็กไหล
หลังจากที่พระอาจารย์วัชระ ได้มาโปรดญาติโยมที่บ้านฉันแล้ว  พอท่านออกจากบ้านไปได้ไม่นานนัก  ราว ๆ เวลา  ๑๐ นาฬิกาเศษ ได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่  ซึ่งอยู่ใกล้ประตูออกไปในสวน  พื้นดินมีรอยร้าวแตกแยกเป็นทางยาวประมาณ ๑ ศอก  ได้มีพระธาตุ (กระดูก) วางเรียงกันอยู่ ๔ องค์  ครั้งแรกที่เห็นพระธาตุ จิตสัมผัสบอกว่าเป็นพระธาตุ เป็นกระดูกของท้าวนาคราชพุชงภ์  ฉันได้อัญเชิญขึ้นมาไว้ในภาชนะแก้ว รู้สึกขนลุกไปทั่วตัวเพราะเป็นพระธาตุที่มีพลังมาก พอผ่านไปอีกถึงครึ่งชั่วโมง  ฉันไปดูที่เดิมอีก  ก็ปรากฏว่ามีมาอีก ๘ องค์ ฉันได้อัญเชิญขึ้นไว้ในภาชนะแก้วอีก  แล้วก็เทียวไปดูอีกก็พบว่ามีพระธาตุ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว  จนในที่สุดเต็มภาชนะแก้ว น่าอัศจรรย์มาก ๆ เลย  ทีนี้ไปดูอีกก็ไม่พบพระธาตุเสด็จ  แปลกดีนะ
ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร  ได้แต่เดาว่าพญานาคคงจะนำมาให้  คงเป็นเพราะว่าพระอาจารย์วัชระท่านมีความเกี่ยวข้องกับพระธาตุ,ธาตุกายสิทธิ์และเหล็กไหล  พอท่านได้มาโปรดที่นั่นแล้ว  พญานาคจึงได้นำพระธาตุมามอบให้ฉันไว้บูชาและแจกคนอื่นด้วย

ในสัปดาห์ต่อมา  พระอาจารย์วัชระได้มาฉันเพล  ที่บ้านฉันอีกครั้งหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ  มีคนมาร่วมถวายเพลหลายคน ในโอกาสนั้นฉันได้นิมนต์ท่านให้ช่วยตรวจดูพระธาตุ  ว่าใช่พระธาตุของท้าวนาคราชพุชงภ์ตามที่ฉันสัมผัสด้วยจิตหรือไม่ ท่านก็ตรวจดูแล้วบอกว่าใช่  ฉันได้ถวายท่านเป็นส่วนแตัวและมอบให้ท่านนำไปไว้ที่วัดและสำหรับแจกผู้คนที่เขาศรัทธาด้วย นอกจากนั้นฉันก็ได้แจกให้ทุกคนที่มาในวันนั้นจนเกือบจะหมด  พระอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าเราแจกผู้อื่นไปบูชา  ต่อไปก็จะมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มอีกมากกว่าเดิม  ก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า  จากวันนั้นมาก็มีพระธาตุเสด็จมาเยอะมาก  พระบรมสารีรุกธาตุก็มี
ธาตุกายสิทธิ์ของปู่ฤาษีและเหล็กไหลด้วย  ทุกครั้งที่พระอาจารย์วัชระไปโปรดญาติโยมที่นั่น ฉันก็จะถวายธาตุกายสิทธิ์ให้ท่านอัญเชิญมาไว้ที่วัด

ธาตุกายสิทธิ์จากเมืองบาดาล
เคยมีพระอาจารย์จากสายวัดป่า ท่านมาโปรดญาติโยมที่บ้านฉัน ท่านเป็นพระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น และมีพระอาจารย์ที่มาด้วยท่านได้ตรวจพระธาตุให้  ท่านบอกว่า พระธาตุนี้เทวดานำมามอบให้เฉพาะส่วนตัว อย่าแจกให้ผู้อื่นเพราะจะส่งผลเป็นลบได้  แต่ถ้ามีมากก็ให้ถวายพระเป็นส่วนตัวหรือถวายให้ท่านนำไปไว้ที่วัดก็ได้  ฉันก็ได้ถวายพระให้ท่านนำไปบรรจุในพระเจดีย์ที่กำลังสร้างอยู่   เคยมีพระจากประเทศเขมรมาโปรดญาติโยม ฉันก็ได้ถวายพระธาตุให้ท่านอัญเชิญไปไว้ที่ในประเทศเขมรด้วย

  ทุกวันนี้ก็ยังมีธาตุกายสิทธิ์เสด็จมาไม่เคยขาด  การมาของแต่ละรุ่นก็จะมาลงในสถานที่แตกต่างกัน  เวลามาจะได้ยินเสียงดังบนหลังคาบ้านบ้าง  ดังที่ผนังบ้านบ้าง  จากนั้นก็จะมีเทวดามาบอกให้ไปอัญเชิญมาไว้ในบ้าน  ถ้าเทวดามาบอกแล้วต้องรีบไป  ถ้าหาเองคงไม่เจอแน่เพราะเป็นสถานที่เฉพาะ เป็นที่ ๆ สะอาด ส่วนมากจะเป็นใต้ต้นไผ่ แต่เรามีต้นไผ่เยอะมากเกือบรอบบ้าน ถ้าหาเองก็คงเหนื่อยน่าดู  ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุก็จะเสด็จมาในบ้าน จะอยู่ตรงหน้าหิ้งพระ  ก็มีบางครั้งเทวดาท่านเล่นตลก  เอาพระธาตุมาวางไว้ในจานข้าวที่เราเตรียมไว้รับประทาน  แต่ท่านก็ดลใจให้เราเห็น ไม่เช่นนั้นก็เผลอเคี้ยวแตกได้  เรื่องเกี่ยวกับพระธาตุเสด็จยังมีอีกค่ะ ไว้ติดตามตอนต่อไปนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหลงทาง

เมื่อวานนี้ฉันได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่ของญาติสามี  เราไปกันทั้งครอบครัว  บ้านญาติคนนี้อยู่ที่เมือง
ซูริค ใช้เวลาจากบ้านไปถึงสถานีรถไฟที่ซูริคประมาณ  ๓๐ นาที ต่อรถไฟอีกขบวนสั้น ๆ  ราว ๑๐ นาที  ขบวนนี้จะไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว  เขาเขียนป้ายว่า "ให้ผู้โดยสารตรวจตั๋วกันเอง"  คือซื่อสัตย์ต่อกฏระเบียบ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ เกิดโชคร้ายมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจพบ ไม่มีตั๋วรถไฟ ก็จะโดนปรับ ๑๐๐ สวิสฟรังค์  ที่ไม่มีการตรวจตั๋วเพราะว่าเป็นย่านของพวกคนรวย  เป็นพื้นที่ตั้งอยู่บนภูเขาและอยู่ติดกับทะเลสาบ  วิวสวยมาก  อยากจะถ่ายรูป  แต่รถไฟแล่นเร็วมาก ๆ  เวลาจอดก็จอดแค่ ๑-๒ นาที  ก็รีบไปแล้

คนเป็นโรคหัวใจหรือโรคจิตโรคประสาท  ฉันคิดว่าคงไม่เหมาะที่จะเดินทางโดยรถไฟที่นั่นหรอก  เพราะต้องรีบขึ้นรีบลงอย่างรวดเร็ว เผลอ ๆ ขึ้นรถผิดขบวนอีก  ฉันยังไม่เคยขึ้นผิดขบวนหรอกนะ  แต่ว่า..ขึ้นถูกแล้วรีบลงอย่างรวดเร็ว  เพราะคิดว่าขึ้นผิด เลยทำให้เสียเวลาต้องรอไปเกือบชั่วโมง

ท่านผู้อ่านก็คงจะเจอเหมือน ๆ กันนั่นแหละ เรื่องขึ้นรถไฟผิดขบวนนี่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เดินทางโดยรถไฟ จริงมั้ยคะ หรือบางคนก็อาจจะได้รับการอบรมฝึกจิตมาอย่างดี จิตก็สามารถทำงานได้ถูกต้อง หรือว่าทำผิดน้อยลง  แต่ก็มีบางคนยังไม่คิดอยากจะออกจากความมืดบอด หรือความหลง (ความหลงอวิชชา คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่ง ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)  ยังคิดจะเอาดีเอาเด่นทางโลกอยู่  ก็หลงต่อไป หารู้ไม่ว่าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลิศประเสริฐเท่า "พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"  ไม่มีวิชาใดในโลกนี้ยากยิ่งกว่า "พระอภิธรรม"  ธรรมะเป็นของสูงเป็นของผู้มีบุญบารมี ที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติบางก่อน  ชาตินี้จึงได้มีโอกาสฟังและได้ศึกษา  เพื่อสั่งสมความเข้าใจ  อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดสติ และปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลาย  เอาล่ะ..ฉันก็เกริ่นมาซะยืดยาว ทีนี้กลับเข้าเรื่องดีกว่านะ

เรื่อง " หลงทาง" นี่ก็ไม่ถึงกับแย่มาก  แต่มันก็เป็นปัจจัยให้มีเรื่องอะไรที่แปลก ๆ  มาเล่าสู่กันฟัง คำว่า "หลง" คือการเผลอ  สติไม่อยู่กับ "กายกับใจ"  จิตไปมัวเกาะเกี่ยวยึดอยู่กับสิ่งภายนอก  เมื่อจิตอยู่นอกกายใจ  ก็จะไม่มีฐานให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ขณะปัจจุบันได้..... เมื่อวานฉันได้โดน "หลง" มันเล่นงานสนุกไปเลย.....เรื่องมีอยู่ว่า  หลังจากที่เราได้รับประทานอาหารกลางวัน ร่วมกันในวงญาติพี่น้องเสริ็จ  เรียบร้อยแล้ว  เราก็ได้ไปเดินย่อยอาหารกัน ไปทั้งหมด ๑๐ คน เดินกันเป็นกลุ่ม ๆ  ไปเดินบนภูเขาเป็นป่าร่มรื่น  อากาศเย็นสบาย มีเสียงนกร้องเพลงบ้าง คุยกันบ้าง เสียงลมพัดอ่อน ๆ มากระทบกายเย็นสดชื่นเป็นระยะ ๆ เสียงน้ำตก เสียงน้ำไหลเป็นเหมือนเสียงสวรรค์บันดาล รู้สึกจิตมันก็หลงดีจัง จิตเขาก็ปรุงแต่งสารพัดเรื่อง เห็นภาพสวย ๆ ก็ยินดีพอใจที่จะถ่ายภาพ

มีญาติอีกคนก็ชอบหลงใหล ในการถ่ายภาพธรรมชาติเหมือนฉัน ในที่สุดเราก็หลงทาง  โชคดีมีแฟนเขาอยู่ร่วมทางด้วย  ส่วนคนอื่นเขาก็ชมนกชมธรรมชาติ จนลืมหันมาดูพวกเรา  ซึ่งกำลังเพลินกับการถ่ายภาพน้ำตกอยู่  พวกเราก็ปลอบใจตัวเองว่า  ยังไง ๆ เราก็จะต้องไปถึงบ้านก่อนค่ำอย่างแน่นอน  เดินไปเรื่อย ๆ  จนถึงทางสามแพร่ง  มีป้ายบอกทางไว้  เราก็เลือกป้ายชื่อของหมู่บ้านที่เราจะไป  ซึ่งเป็นทางสวยงามขนานไปกับลำน้ำ  เดินไปสักหน่อยก็เจอน้ำตกอีก  ก็หยุดชมน้ำตก  ทันใดนั้นได้มีเสียงโทรศัพท์จากญาติ โทรมาถามญาติอีกคนว่า "พวกเธออยู่ที่ไหนกัน" ญาติตอบ "พวกฉันอยู่ตรงน้ำตก " อีกคนถาม "น้ำตกไหนล่ะ ที่นี่มีตั้งหลายน้ำตก"  พวกเราก็เลยตะโกนดัง ๆ ออกไปว่า " น้ำตกใกล้ ๆ ที่ปิคนิค พวกเธอไม่ต้องห่วงนะ พวกฉันกลับบ้านเองได้" พอพูดเสร็จปิดโทรศัพท์แล้ว ก็เดินกันต่อไป  เดินต่อไปอีกระยะ  ก็เจอม้านั่งสำหรับชมธารน้ำ ฉันก็เลยชวนพวกเขานั่งพักเหนื่อยกันหน่อย  ฉันรู้ด้วยจิต ว่าสามีฉันกำลังเป็นห่วงฉันมาก  เพราะว่าเท้าฉันไม่ค่อยจะดี  เพิ่งจะเดินได้เป็นปกติ เขาคงคิดว่าฉันอาจจะมีปัญหาเรื่องเท้าอีก

นั่งกันยังไม่ถึงห้านาที กำลังคุยกันสนุก ๆ  หูก็แว๊บไปได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา หันไปดู  ตกใจตาม ๆ กัน สามีและญาติมาตามเจอ  "ทำไมมาเร็วจัง" พวกเราถามด้วยความสงสัย  สามีมามากับญาติ พอมาถึงก็พูดว่า "ฉันไม่ห่วงเธอสองคนหรอกนะ ฉันห่วงภรรยาฉัน" พอพูดจบ ก็จับแขนฉันแน่นเชียว บอกว่า" ปล่อยเดินคนเดียวไม่ได้ ไม่ไวใจ ทีนี่ต้องจับแขนไว้ เหมือนนักโทษ" พวกเราก็ขำกันตลอดทาง.....ทางที่เขาพากลับบ้านนั้น มันคนละป้ายที่จะไปหมู่บ้าน แต่เป็นทางลัด เราไม่รู้กันว่ามันเป็นทางลัด  เราจึงไม่เลือกทางนี้ เป็นอันว่า เราก็โดนป้ายมันหลอก ให้หลงทางจนเหนื่อยตาม ๆ กัน  เขาตั้งใจว่าจะพาพวกเราไปดูทำพิธีแต่งงานในโบสถ์  ก็มัวแต่ไปหลงทาง เลยไปไม่ทันเห็นพิธีแต่งงาน  แต่ฉันก็ได้เข้าไปในโบสถ์  ไปเยี่ยมพระเยซูและพระแม่มาเรีย ได้ทำสมาธิถวายท่านด้วยนะ เราอาศัยแผ่นดินของศาสนาคริสอยู่  เราก็ควรให้ความเคารพท่านด้วย  ตามโอกาส เพราะท่านจะได้คุ้มครองเราให้รอดจากภยันตรายต่าง ๆ ด้วย   
 
วันนั้นทั้งวันได้เจอแต่กุศลวิบากทางตาเยอะมาก เช่น ได้เห็นทะเลสาบสวย ๆ เห็นน้ำตก นก ปลาสวย ๆ  ป่าเขาสวย ๆ  ทางหูก็ได้ยินเสียงนก เสียงน้ำตกน้ำไหล ทางลิ้นก็ได้ลิ้มรสอาหารอร่อย ๆ  ส่วนวิบากทางฝ่ายอกุศลก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ มันเกิดมากกว่าฝ่ายกุศลซะอีก....ก็มีเรื่องตลก ๆ จะเล่าให้ฟังจ๊ะ  งานสังสรรค์วันนี้ เจ้าภาพเข้าทำอากหารพวกเนื้อสัตว์ย่างกินกับพวกถั่วต้มและสลัดผัก ท้องฉันมันไม่ชินกับอาหารประเภทถั่วหลายชนิดรวมกัน ตอนกลับบ้านก็เลยต้องเจออกุศลวิบากหนักในรถไฟ  เพราะว่าอาหารฝรั่งเป็นเหตุปัจจัย  ธรรมะปรากฏแล้วทำไงได้ล่ะ  ทุกอย่างเป็นอนัตตา..... พอขึ้นไปนั่งในรถไฟสักครู่ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับฉันเอง บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้ตั้งใจเลยนะ แต่มันต้องเกิดบังคับบัญชาไม่ได้เลย  แค่ขยับก้นนิดเดียวเท่านั้น เล่นเอาคนนั่งข้าง ๆ  สามคนเผ่นหนีหมด ตอนแรก ๆ ทุกคนก็แปลกใจ ว่าได้กลิ่นอะไรนะ ทำไมถึงเหม็นแปลก ๆ  รู้สึกจะเหม็นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ขยับครั้งที่สองเลยนะ แต่พิษสงเยอะจัง คนที่นั่งแถวนั้นลุกหนีหมดเลย

ครั้นจะหนีก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะตามไปด้วย  เลยต้องนั่งรอจนกลิ่นมันหมดฤทธิ์ไปเอง  พูดถึงวิบากนี่น่ะเกิดแล้วก็ดับไป แต่ถ้าจิตคิดเกิดขึ้น  ก็จะเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เป็นปัจจับให้เกิดกุศลวิบากและอกุศลวิบาก   ต่อไป  สำหรับเรื่องหลงนี้  คิดว่าคงพอที่จะเป็นเรื่องเตือนใจ  ให้ทุกท่านได้พยายามฝึกอบรม เจริญสติอยู่เนื่อง ๆ   เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันภัย และคุ้มครองชีวิตให้ปลอดภัยได้ ถ้าขาดสติก็หลงซ้อนหลงนั่นแหละ....หลงก็เป็นธรรมะจ๊ะ

                                             
                                                  ..........................................


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฤทธิ์กุมารทอง

เรื่องเกี่ยวกับกุมารต่าง ๆ  นี้  ฉันเองไม่เคยคิด  ที่จะมีไว้บูชาในบ้านหรอกนะ  แต่ที่ต้องมีก็เพราะมีเรื่องแปลกแต่จริงอีกนั่นแหละ  เป็นเหตุให้ต้องมีไว้ในบ้าน  ฉันเคยได้ยินสรรพคุณของกุมารต่าง ๆ จากคนที่เขานิยมมีไว้บูชากันว่า กุมารทั้งหลายนี้เก่งสารพัด  ถ้าเลี้ยงเขาดี ๆ ให้กินขนมให้เสื้อผ้าสวย ๆ งาม ๆ แก่เขา ๆ ก็จะให้โชคลาภได้ดังใจ  กุมารเหล่านี้เป็นวิญญาณพวกเด็ก ๆ  ที่ไม่มีที่อยู่หรืออยู่ที่ป่าช้า  เวลาผู้มีวิชาเขาทำกุมาร  เขาก็จะเชิญวิญญาณเด็ก ๆ  มาอยู่ในรูปปั้น  ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นเหมือนเด็ก ๆ  แล้วก็ตั้งชื่อให้แตกต่างกันไปตามสรรพคุณ  บางคนก็มีไว้บูชาสารพัดกุมาร  เพราะมีความเชื่อว่ากุมารทำให้มีโชคลาภได้สารพัด นี่ก็เป็นเรื่องของความเชื่อแตกต่างกันไป  เป็นเรื่องของนานาจิตตัง

ถ้าพูดกันตามหลักธรรมะแล้ว  ทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุ  ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เกิดขึ้นเอง  โดยไม่มีเหตุปัจจัยเลย  การที่จะมีงานมีเงินทองร่ำรวย  หรือยากจนแสนเข็ญ ก็ล้วนเป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งนั้น  เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ  แต่ละชาติก็มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้แล้ว  กรรมบางอย่างส่งผลในชาตินี้ เร็วบ้างช้าบ้าง  กรรมบางอย่างส่งผลในชาติหน้า หรือชาติถัด ๆ ไป แล้วแต่อำนาจของแรงกรรมนั้น ๆ   เมื่อเหตุปัจจัยที่จะทำให้ส่งผลพร้อมแล้ว  ผลของกรรมย่อมปรากฏ โดยที่เราไม่สามารถจะยับยั้งได้  บางคนมีวัตถุมงคลไว้บูชาในบ้านมากมาย หรือพระพุทธรูปมากมาย  ใครว่าดีมีสรรพคุณมากมาย  ราคาแพงเท่าไรไม่อั้น เพราะเชื่อว่ามีไว้แล้วจะช่วยให้ตนดีมีฐานะการงานการเงินดี  หากเขาไม่ทำกรรมดีเทพเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็ ช่วยไม่ได้  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  เลิกบูชาวัตถุมงคลต่าง ๆ  วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่พระเกจิอาจารย์หรือผู้มีวิชาแก่กล้า  ที่ท่านทำแล้วปลุกเสกกันหลายวันหลายคืนด้วยพลังจิตนั้น  ไม่ใช่ของคนธรรมดาทำกันได้  ล้วนเป็นของเหนือคนธรรมดา  สิ่งเหล่านี้เป็นของเสริมบารมีคือ เสริมความดี ให้ผู้ที่นำไปบูชาสร้างแต่กรรมดีเพิ่มขึ้น  ลดละกระทำความชั่ว เมื่อผลกรรมส่งผลก็จะเป็นผลกรรมดีอย่างแน่นอน  ไม่ต้องขอเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้  เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าทันสมัยอยู่เสมอ "ทำดี ย่อมได้ดี  ทำชั่ว ย่อมได้ชั่วตอบแทน"

ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า  ฉันจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่  ทีนี้ก็หันมาเรื่องกุมารตามหัวเรื่องที่ตั้งไว้นะคะ  กุมารทองของฉันก็ไม่ธรรมดานะ  ฉันไม่ได้ไปเช่าหรือบูชามาหรอกนะ  เขามาเอง  หลายปีมาแล้วบ่ายวันหนึ่งประมาณ ๑๖ นาฬิกา  มีวิญญาณเด็กมาบอกว่า  "หนูเป็นกุมารทอง หนูมากับหลวงพ่อแก้ว"  ฉันก็ถามทางจิตว่า "แล้วหลวงพ่อแก้วอยูที่ไหน"  "หลวงพ่ออยู่ที่วัดไทย หนูอยากจะอยู่กับแม่ที่นี่" กุมารน้อยพูดเสียงอ้อน  อยากจะอยู่ที่บ้านฉัน "แล้วจะต้องให้แม่ทำอะไรบ้าง" ฉันถามเพื่อเช็คดูก่อนว่ากุมารนี้มีจุดประสงค์อะไร  ถ้าเรียกร้องอะไรมากมาย ฉันก็จะไล่่ไปให้ไกลทันที  เขาบอกว่า ไม่ต้องการอะไร เพียงอยากจะมาอยู่ด้วย เพราะที่บ้านมีหลวงปู่หลวงพ่อและพระแม่กวนอิมด้วย  เขาอยากจะมาสร้างบารมี อยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์  ไม่อยากเป็นกุมารต่อไปอีก  ฟังดูแล้วรู้สึกมีเหตุผลดี  ฉันก็เลยตอบตกลงจะให้อยู่ด้วย  กุมารน้อยดีใจมากและบอกว่า  ต้องมีหุ่นให้เขาด้วย เขาบอกให้ไปเอาดินที่ใต้ก่อไผ่ข้างบ้าน  ทันใดนั้นก็มีปู่ฤาษีมาสื่อว่า  ให้ไปเอาดินสีเหลือง  ตามที่กุมารบอกเพราะดินตรงนั้นขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับปั้นหุ่นกุมารได้  ฉันก็รีบไปดูที่ใต้ก่อไผ่ทันที  ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้  ปกติดินตรงนั้นเป็นสีดำแต่เกิดมีดินสีเหลืองอ่อน ๆ โผล่ขึ้นมา เป็นดินเหนียวละเอียดอ่อน  ฉันจึงตักเอาดินนั้นมาและ  นึกในใจว่า "เราจะปั้นยังไงดีหนอถึงจะเป็นหุ่นกุมารที่ดูขลังดี"  ปู่ฤาษีบอกว่า "ไม่ยากเลยปู่จัดการเอง" พอพูดจบ ปู่ก็เริ่มปั้นทันที นั่งจับดินขย้ำ ๆ ปบิด ๆ ปี้ ๆ ทำไปทำมาเผลอแป๊ปเดียวเป็นหุ่นกุมารน้อยน่ารักจัง   แถมดูขลังซะด้วยนะ  เสร็จแล้วปู่ฤาษีได้เชิญวิญญาณกุมาร  เข้าไปอยู่ในหุ่นนั้น  แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกให้เสร็จเรียบร้อย

พอเสร็จพิธีปลุกเสกแล้ว  ทีนี้แหละเจ้ากุมารก็เริ่มแสดงฤทธิ์  เขาบอกว่าต้องเรียกเขาว่า "กุมารทอง" ฉันก็บอกว่า "ตกลง  แล้วไงต่อไป"  เขาบอกว่า "ที่วัดไทยมีผู้ชายคนหนึ่งไว้ผมแกะกลางศีรษะ เขามากับคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีหลวงพ่อแก้วมรกตด้วย ไม่เชื่อให้ไปดูได้"  ฉันฟังแล้วก็เกิดความคิดที่อยากจะพิสูจน์ดูว่า กุมารทองนี่พูดจริงหรือเทิ็จ    ถ้าพูดเท็จก็จะไม่คบด้วย  ฉันได้ชวนสามีไปวัดไทย ขณะนั้นที่ในโบสถ์  ยังอยู่่ระหว่างวาดภาพฝาผนัง  มีจิตรกรวาดภาพฝาผนังจากกรมศิลปากร  มาวาดภาพกันหลายคน  ฉันกับสามีก็เดินชมการวาดภาพของพวกเขา  ก็ได้มอง ๆ  ดูแต่ละคนว่ามีผมแกะอยู่บนศีรษะมั้ย  ปรากฏว่าไม่พบเลยสักคน  จึงคิดว่ากุมารทองหลอกเราแน่เลย  กลับไปบ้านจะต้องไปจัดการกับกุมารขี้โกหกตนนี้  จะไม่คบด้วยแล้ว เอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์  บังเอิญตาเหลือบไปเห็น  ผู้ชายหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ  มีผมแกะอยู่กลางกระหม่อม  กำลังวาดภาพ  นั่งอยู่บนร้านตรงประตูทางออกโบสถ์  ร้านที่นั่งวาดภาพ  สูงเกือบจรดเพดาน ตัวคนก็เล็ก ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ ก็จะมองไม่เห็น ตอนเข้าไปแรก ๆ ฉันก็มองไม่เห็นเขา  จวนจะออกจากประตูจึงได้เห็น  ที่แปลกมาก ๆ  คือผู้ชายคนนี้  หน้าตาเหมือนกับกุมารทองด้วย  ปู่ฤาษีได้เรียกให้เขาลงมาข้างล่าง  เขาก็รีบลงมาไหว้ปู่  แล้วปู่ก็สวดเสกลงที่กระหม่อมให้เขา ๆ  ก็นั่งคุกเข่าพนมมือให้ปู่ทำพิธีสวดเสริมพลังให้ด้วยความศรัทธายิ่ง

เป็นอันว่าเจ้ากุมารทองรอดตัวไป  ฉันไม่เลี้ยงกุมาร  ด้วยอาหารและให้ของเล่นหรือเสื้อผ้าอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีประโยชน์แก่เขา  สิ่งที่เขาควรได้และควรทำคือ เวลาฉันสวดมนต์  ภาวนา  ฟังเทศน์ฟังธรรม เขาจะต้องมาร่วมกิจกรรมด้วย  บอกเขาให้รับรู้ตั้งแต่วันแรก จะได้ไม่ต้องเรียกกันทุกครั้ง  ต้องรับผิดชอบเองถ้าอยากจะเกิดเป็นมนุษย์  ก็ต้องเร่งสร้างกุศล  เลิกยึดเลิกติดของที่ไม่มีประโยชน์ เพราะตนไม่ใช่มนุษย์ที่จะสามารถบริโภคสิ่งต่าง ๆได้  เราอยู่กันคนละมิติ ทุกวันนี้กุมารทองเขาก็ยังอยู่ที่บ้านยังต้องสร้างบุญกุศลให้ถึงพร้อมก่่อน  เพื่อจะได้เกิดในภพที่ดีกว่าเดิม

ฉันมาทราบภายหลังว่า  ก่อนหน้าที่กุมารทองจะมาหาฉัน ลูกสาวของฉันได้ไปเที่ยวที่วัดกับแฟนเขา  และได้เข้าไปในโบสถ์ด้วย  เจ้ากุมารก็เลยถือโอกาสตามมา  แล้ววันรุ่งขึ้นลูกสาวฉันมาเยี่ยมบ้าาน  พอลูกสาวฉันกลับบ้าน  เจ้ากุมารทองไม่ไปด้วย  อยากจะอยู่กับฉัน

เรื่องกุมารทองที่ฉันเล่ามานี้  ก็คงจะพอเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านได้บ้างนะคะ  ที่จริงแล้วเทพเทวดาและวิญญาณทั้งหลาย  เขาอยู่คนละภพกับเรา  เขาไม่ต้องการบริโภคอะไรอีกแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์มากกับพวกเขาก็คือ "บุญ"  ให้อุทิศบุญกุศลให้เขา  จะดีกว่าการให้สิ่งของหรืออาหาร สวดมนต์ภาวนา ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล แล้วก็อุทิศส่วนกุศล  ให้เขาได้ร่วมอนุโมทนาด้วย นับว่าเป็นการกระทำทีดีทั้งสองฝ่าย เป็นความเชื่อที่มีเหตุผลด้วยจ้ะ แต่ถ้าใครไม่ใจแข็งพอที่จะให้กุมารน้อยของตนอดอาหาร แล้วให้กินอาหารทิพย์แทน จะให้กินเหมือนเดิมก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมเขาก็แล้วกัน....เรื่องนี้ก็ขอจบเพียงแค่นี้จ๊ะ.....พบกันอีกในบทความใหม่นะคะ