วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปาฏิหาริย์เหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑ






สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

เป็นยังไงบ้างค่ะ  หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  นานมากทีเดียวที่ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้  พบกันวันนี้ฉัน
เรื่องแปลกแต่จริง  ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริง ๆ  ตื่นเต้นและน่ากลัวมาก  ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายปีผ่านมาแล้ว  แต่ก็ยังประทับอยู่ในความทรงจำของฉันอย่างแม่นยำ  เพราะเป็นเรื่องที่ประสบกับตนเอง  เรื่องราวตื่นเต้นและเสี่ยงชีวิตเช่นนี้ใครจะลืมได้ง่าย ๆ  จริงมั้ยค่ะ !  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  ตามเหตุตามปัจจัย เพราะเป็นเรื่องของวิบากกรรม  เป็นเรื่องที่เราได้กระทำไว้แล้ว  ตามหลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้ทางตา หู  จมูก  ลิ้น กาย เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว อาจจะเป็นผลของกรรมในชาติปัจจุบัน  หรือชาติก่อน ๆ  โน้น หลายแสนโกฎกัปก็ไม่สามารถรู้ได้  เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ผลของกรรมก็จะต้องปรากฏให้เราได้เสวย  วิบากเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา......เหตุการณฺที่ฉันได้ประสบมานี้  นับว่าเป็นบทเรียนที่ราคาแพงมากเสมอชีวิตก็ว่าได้  จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่า เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านด้วย คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว  และเพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่าน  ฉันก็จะขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ

เมื่อวันเสาร์ที่  ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐  ฉันและสามีได้ไปร่วมงานปาร์ตี้เลี้ยงอำลาของครอบครัวคน
สวิส ซึ่งมีภรรยาเป็นคนจีนฮ่องกง  เขาจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย  เขาเป็นเจ้าของกิจการค้าขายเสื้อผ้ามียี่ฮ่อดังมากยี่ฮ่อหนึ่งและเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงคนหนึ่ง  จึงได้จัดงานปาร์ตี้อย่างใหญ่โตหรูหร่า  เชิญญาติมิตรสหายคนรู้จัก รวมทั้งลูกค้าเป็นจำนวนมากมาย  ในงานนี้มีคนสวิสเป็นส่วนใหญ่ และก็มีคนจีนคนเวียตนามหลายคน เป็นแขกของภรรยาเจ้าภาพ  ส่วนคนไทยมีคนเดียว คือฉันเอง  เราเป็นแขกในฐานะที่สามีเคยทำธุรกิจกับเขา  จนตอนหลังกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน

ขอย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่ฉันจะไปงานปาร์ตี้สักหน่อย  เพราะมันมีอะไรที่เกี่ยวโยงกับเรื่องที่เกิด  คือวันนั้นตอนก่อนเที่ยงวัน  ฉันกับน้องสาวได้ไปช๊อปปิ้งที่ในเมือง  วันนั้นฉันมีความรู้สึกอย่างไรไม่ทราบ เห็นอะไรก็อยากจะซื้อไปหมด  เจออะไรก็ซื้อ ๆ โดยที่ไม่คิดเลยว่าจำเป็นหรือไม่ ถูกใจก็ซื้อ  เช่น ซื้อกะทะ  หม้อ หมอน  ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวและของใช้อย่างอื่นอีกหลายอย่าง  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่จำเป็นเลย เพราะมีใช้พอเพียงแล้ว น้องสาวแปลกใจว่าทำไมถึงซื้อเยอะจัง  เธอไม่เคยเห็นฉันซื้อของมากมายเช่นนี้มาก่อน  เลยทำให้เธอคิดมาก  เธอคิดว่า การซื้อของวันนี้เหมือนยังกับว่าฉันจะซื้อเป็นครั้งสุดท้ายงั้นแหละ  คงจะต้องเป็นลางสังหรณ์อะไรสักอย่างแน่ ๆ

น้องสาวได้เล่าว่า  ตอนบ่าย ๔ โมง  หลังจากที่ฉันกับสามีออกจากบ้านแล้ว  เธอได้จุดธูปขอบารมีพระแม่กวนอิม หลวงปู่ หลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้พวกฉันเดินทางโดยปลอดภัย.....ก่อนออกบ้านฉันก็ได้อัญเชิญเหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑช่วยคุ้มครองด้วย  เพราะทราบว่าทางที่ไปเป็นภูเขาสูงชันและงานนี้ก็คงจะต้องกลับดึกด้วย  นาน ๆ  จะได้มีการสังสรรค์กันก็คงไม่เลิกลากันง่าย ๆ แน่.....คืนวันนั้นผู้คนที่มาในงาน  ต่างก็สนุกสนานกับการกินการดื่มและก็สนทนากันตามประสานักธุรกิจ  งานนี้ไม่มีดนตรีไม่มีการเต้น  เจ้าภาพไม่รับของขวัญจากแขก  อยากให้แขกสนุกให้เต็มที่  รู้สึกว่าพวกแขกก็สนุกจนลืมเวลา ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วยังไม่มีใครลากลับบ้าน

 สำหรับฉันเองรู้สึกว่าไม่มีความสนุกเลย  มีแต่ความกังวลมากกว่า  กลัวว่าถ้ากลับบ้านตอนตึก ๆ จะไม่ปลอดภัย เพราะต้องขับรถลงภูเขาสูง ทางแคบและชันมาก ข้างทางมีเหวลึกด้วย  กว่าจะเลิกงานก็ดึกมาก  ต่างคนต่างก็มึนเมากันเต็มที่  หมดสภาพนักธุรกิจตาม ๆ กัน  น่าสมเพชจริง ๆ  ก่อนปาร์ตี้ก็ดูมีมาดดี  พอหลังปาร์ตี้  ขอโทษที....แต่ละคนไม่เหลือมาดดี ๆ  ให้ดูเลย   ฉันเองก็เป็นห่วงสามี ไม่อยากให้เขาขับรถกลับบ้าน  ครั้นจะเป็นคนขับซะเอง  ก็ขับไม่เก่ง  อยากนั่งแท็กซี่กลับ  แต่เขาบอกว่าเขาขับได้ไม่ต้องกลัว  เป็นอันว่าเราตกลงไม่ง้อแท็กซี่

ตอนที่ขับรถลงภูเขา ถนนสองข้างทางไม่มีไฟฟ้าเลย  มีแต่แสงไฟจากรถของเราเท่านั้น  ฉันก็นั่งสวดมนต์ตลอดทาง  เพราะในยามหวาดเสียวเช่นนั้น  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดมนต์ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นเครื่องคุ้มครองที่ประเสริฐสุด  ทำให้ความหวาดกลัว เสียวสะดุ้งหายไป มีความสงบและความกล้าเข้ามาแทนที่  การสวดมนต์ยังเป็นการปลุกคนเมาให้สะดุ้งตื่นจากความเมาได้ด้วย เป็นอันว่าคนขับได้นำรถลงจากภูเขาได้โดยปลอดภัย

พอผ่านทางอันตรายมาได้ก็โล่งอก  ตอนนี้ก็เข้าสู่ทางธรรมดาเป็นถนนสองเลน  ช่วงนั้นรถแล่นไม่ค่อยสะดวกนัก  เพราะอยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม และทางสี่แยกบางแห่งก็กำลังจะสร้างวงเวียน  ไฟฟ้าข้างทางมีอยู่เป็นระยะ ๆ  แต่ว่าห่างกันมาก  จึงมองไม่ค่อยเห็นทางชัดเจนนัก  ระหว่างที่รถกำลังแล่นอยู่บนถนนไปอย่างเรียบ ๆ  ด้วยความเร็ว ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ฉันก็คิดว่าไม่น่าจะอันตรายอะไร  เลยหยุดสวดมนต์  เราก็คุยกันไปเรื่อย ๆ  ถนนเงียบมากไม่มีรถอื่นแล่นผ่านหรือสวนกันเลย นอกจากรถของเราคันเดียวเท่านั้น  แล้วอยู่ ๆ  ฉันก็สวดมนต์โดยไม่ได้ตั้งใจ  แต่เสียงที่สวดกลับเป็นเสียงของผู้ชายแก่ ๆ  คงจะเป็นเทวดามาสวดมนต์  สวดเป็นภาษาเทพ เสียงน่าฟังมาก ได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที  แต่บทสวดนั้น เราไม่สามารถเข้าใจได้เลย  คิดว่าคงจะเป็นการสวดคุ้มครอง  พอสวดไปได้สักครู่  ก็หยุดชะงักการสวด  แล้วมีเสียงเตือนว่าพูด  "ระวัง ระวัง ! "  พอสิ้นเสียงเตือนเท่านั้นแหละ  รถเราก็ค่อย ๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศ  สูงจากพื้นถนนเกือบสองเมตร  ฉันตกใจกลัวแต่ก็ข่มไว้ไม่แสดงออก  สามีจับพวงมาลัยรถไว้แน่นอย่างมีสติ  แล้วหันหน้ามาถามฉันว่า "เกิดอะไรขึ้นเหรอ ? "  ฉันตอบ " ไม่รู้ซิ "  พอฉันตอบเสร็จ ก็รู้สึกว่ารถกำลังร่อนลงต่ำ  แล้วทันใดนั้นก็กระแทกอย่างแรงกับพื้นถนนเสียงดัง "ตึ้ง"  ด้วยแรงกดดันของรถขณะที่ตกลงกระแทกกับพื้น ทำให้ฉันก็ถูกกดกระแทกลงกับที่นั่ง  จนรู้สึกเจ็บหน้าอกและลิ้นปี่มาก  จากนั้นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แฟบลงแฟบ  สามีฉันก็ได้พยายามขับรถไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหารโต้รุ่งข้างทางแห่งหนึ่ง  แล้วเราก็จอดรถทิ้งไว้ที่นั่น  คราวนี้ต้องง้อแท็กซี่ให้ไปส่งกลับบ้าน  ส่วนรถนั้นเสียหายอย่างไรก็ยังไม่ทราบ

ตอนสายของวันรุ่งขึ้น  เราได้ไปตรวจดูสภาพรถ ปรากฏว่าใต้ท้องรถดูไม่ได้เลย  เครื่องยนต์ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ต้องใช้เวลาซ่อมเป็นเดือน  ส่วนสถานที่เกิดเหตุนั้น  คือทางสี่แยกซึ่งเขากำลังจะสร้างวงเวียน เขาเตรียมขุดหลุมกว้างประมาณ ๒ เมตร  ยาว ๓ เมตร  ลึก ๒  เมตร  ดินบริเวณรอบหลุมสูงเป็นภูเขาเล็ก ๆ  เห็นสถานที่เกิดเหตุแล้ว ขนหัวลุก  ถ้าตกลงไปในหลุมก็คงไม่รอดแน่ ๆ  โชคดีที่รอดตายมาได้  เพราะปู่พระนารายณ์และปู่พญาครุฑพาบินข้ามหลุมนี่เอง  ตอนที่บินก็ไม่รู้ว่าบินข้ามอะไร  เพราะว่าตอนที่เทวดาบอกเตือน  เราก็มองไม่เห็นอะไรเลย  ตอนนั้นมันมืดไปหมดชั่วขณะจิตเท่านั้น แทบไม่เหลือชีวิตก็ว่าได้  ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง  ดีว่าเรามีความเชื่อและศรัทธาในพระรัตนตรัย  เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อในคุณธรรมของเทวดา  และก็ได้กำลังใจจากน้องสาวช่วยขอบารมีพระแม่กวนอิมและหลวงปู่หลวงพ่อคุ้มครอง  ก็เลยรอดปลอดภัยได้มาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกท่านอ่านกัน

สถานที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น  ก็เหมือนเป็นสถานที่เตือนความทรงจำของเรา  หลังจากนั้นเขาได้สร้างเป็นสัญญลักษณ์เป็นรูปแมงปอกำลังบินร่อนลงบนยอดเขา  นี่ก็เป็นเรื่องแปลกแต่จริง  ฉันคิดว่าต้องเป็นปาฏิหาริย์ของเหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑแน่ ๆ เลย เพราะว่ามีเหรียญเดียวที่ได้อัญเชิญติดตัวไปด้วยในวันนั้น  เหรียญนี้ฉันได้มาจากหลวงพ่อวัชระ แห่งวัดถ้ำแฝด  จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉันและครอบครัวพร้อมญาติได้ไปแวะเยี่ยมท่านที่วัด  จึงถือโอกาสขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อวัชระ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ  และขอกราบขอบพระคุณพระแม่กวนอิม หลวงปู่หลวงพ่อ  ปู่พระนารายณ์ ปู่พญาครุฑ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ได้คุ้มครองข้าพเจ้าและสามีให้รอดจากภยันตรายในครั้งนี้ด้วย

เรื่องนี้ก็คงจะพอเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าอย่าประมาท  ขับรถเดินทางไกลไม่ควรดื่มแอลกอฮอร์  ก่อนออกบ้านควรมีสิ่งคุ้มครองพกติดตัว  ฝึกสมาธิอยู่เนื่อง ๆ  จะช่วยให้จิตสงบสามารถระงับความกลัวได้  หมั่นสวดมนต์จนเป็นอุปนิสัย ยามทุกข์กายทุกข์ใจสวดมนต์คลายทุกข์ได้เป็นอย่างดี  เพราะขณะสวดมนต์จิตเป็นกุศล เป็นความสุขในขณะนั้นได้......ท่านผู้อ่านค่ะ  อ่านเรื่องนี้จบแล้วก็คงจะได้ข้อคิดบ้างนะคะ  สำหรับเรื่องปาฏิหาริย์เหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑก็จบเพียงแค่นี้จ๊ะ  โอกาสหน้าพบกันอีกนะคะ.

                                                                       .............................................