สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
เป็นยังไงบ้างค่ะ หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ นานมากทีเดียวที่ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้ พบกันวันนี้ฉัน
เรื่องแปลกแต่จริง ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริง ๆ ตื่นเต้นและน่ากลัวมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายปีผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังประทับอยู่ในความทรงจำของฉันอย่างแม่นยำ เพราะเป็นเรื่องที่ประสบกับตนเอง เรื่องราวตื่นเต้นและเสี่ยงชีวิตเช่นนี้ใครจะลืมได้ง่าย ๆ จริงมั้ยค่ะ ! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ตามเหตุตามปัจจัย เพราะเป็นเรื่องของวิบากกรรม เป็นเรื่องที่เราได้กระทำไว้แล้ว ตามหลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว อาจจะเป็นผลของกรรมในชาติปัจจุบัน หรือชาติก่อน ๆ โน้น หลายแสนโกฎกัปก็ไม่สามารถรู้ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ผลของกรรมก็จะต้องปรากฏให้เราได้เสวย วิบากเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา......เหตุการณฺที่ฉันได้ประสบมานี้ นับว่าเป็นบทเรียนที่ราคาแพงมากเสมอชีวิตก็ว่าได้ จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่า เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านด้วย คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว และเพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่าน ฉันก็จะขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉันและสามีได้ไปร่วมงานปาร์ตี้เลี้ยงอำลาของครอบครัวคน
สวิส ซึ่งมีภรรยาเป็นคนจีนฮ่องกง เขาจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เขาเป็นเจ้าของกิจการค้าขายเสื้อผ้ามียี่ฮ่อดังมากยี่ฮ่อหนึ่งและเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงคนหนึ่ง จึงได้จัดงานปาร์ตี้อย่างใหญ่โตหรูหร่า เชิญญาติมิตรสหายคนรู้จัก รวมทั้งลูกค้าเป็นจำนวนมากมาย ในงานนี้มีคนสวิสเป็นส่วนใหญ่ และก็มีคนจีนคนเวียตนามหลายคน เป็นแขกของภรรยาเจ้าภาพ ส่วนคนไทยมีคนเดียว คือฉันเอง เราเป็นแขกในฐานะที่สามีเคยทำธุรกิจกับเขา จนตอนหลังกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ขอย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่ฉันจะไปงานปาร์ตี้สักหน่อย เพราะมันมีอะไรที่เกี่ยวโยงกับเรื่องที่เกิด คือวันนั้นตอนก่อนเที่ยงวัน ฉันกับน้องสาวได้ไปช๊อปปิ้งที่ในเมือง วันนั้นฉันมีความรู้สึกอย่างไรไม่ทราบ เห็นอะไรก็อยากจะซื้อไปหมด เจออะไรก็ซื้อ ๆ โดยที่ไม่คิดเลยว่าจำเป็นหรือไม่ ถูกใจก็ซื้อ เช่น ซื้อกะทะ หม้อ หมอน ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัวและของใช้อย่างอื่นอีกหลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่จำเป็นเลย เพราะมีใช้พอเพียงแล้ว น้องสาวแปลกใจว่าทำไมถึงซื้อเยอะจัง เธอไม่เคยเห็นฉันซื้อของมากมายเช่นนี้มาก่อน เลยทำให้เธอคิดมาก เธอคิดว่า การซื้อของวันนี้เหมือนยังกับว่าฉันจะซื้อเป็นครั้งสุดท้ายงั้นแหละ คงจะต้องเป็นลางสังหรณ์อะไรสักอย่างแน่ ๆ
น้องสาวได้เล่าว่า ตอนบ่าย ๔ โมง หลังจากที่ฉันกับสามีออกจากบ้านแล้ว เธอได้จุดธูปขอบารมีพระแม่กวนอิม หลวงปู่ หลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้พวกฉันเดินทางโดยปลอดภัย.....ก่อนออกบ้านฉันก็ได้อัญเชิญเหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑช่วยคุ้มครองด้วย เพราะทราบว่าทางที่ไปเป็นภูเขาสูงชันและงานนี้ก็คงจะต้องกลับดึกด้วย นาน ๆ จะได้มีการสังสรรค์กันก็คงไม่เลิกลากันง่าย ๆ แน่.....คืนวันนั้นผู้คนที่มาในงาน ต่างก็สนุกสนานกับการกินการดื่มและก็สนทนากันตามประสานักธุรกิจ งานนี้ไม่มีดนตรีไม่มีการเต้น เจ้าภาพไม่รับของขวัญจากแขก อยากให้แขกสนุกให้เต็มที่ รู้สึกว่าพวกแขกก็สนุกจนลืมเวลา ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วยังไม่มีใครลากลับบ้าน
สำหรับฉันเองรู้สึกว่าไม่มีความสนุกเลย มีแต่ความกังวลมากกว่า กลัวว่าถ้ากลับบ้านตอนตึก ๆ จะไม่ปลอดภัย เพราะต้องขับรถลงภูเขาสูง ทางแคบและชันมาก ข้างทางมีเหวลึกด้วย กว่าจะเลิกงานก็ดึกมาก ต่างคนต่างก็มึนเมากันเต็มที่ หมดสภาพนักธุรกิจตาม ๆ กัน น่าสมเพชจริง ๆ ก่อนปาร์ตี้ก็ดูมีมาดดี พอหลังปาร์ตี้ ขอโทษที....แต่ละคนไม่เหลือมาดดี ๆ ให้ดูเลย ฉันเองก็เป็นห่วงสามี ไม่อยากให้เขาขับรถกลับบ้าน ครั้นจะเป็นคนขับซะเอง ก็ขับไม่เก่ง อยากนั่งแท็กซี่กลับ แต่เขาบอกว่าเขาขับได้ไม่ต้องกลัว เป็นอันว่าเราตกลงไม่ง้อแท็กซี่
ตอนที่ขับรถลงภูเขา ถนนสองข้างทางไม่มีไฟฟ้าเลย มีแต่แสงไฟจากรถของเราเท่านั้น ฉันก็นั่งสวดมนต์ตลอดทาง เพราะในยามหวาดเสียวเช่นนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดมนต์ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นเครื่องคุ้มครองที่ประเสริฐสุด ทำให้ความหวาดกลัว เสียวสะดุ้งหายไป มีความสงบและความกล้าเข้ามาแทนที่ การสวดมนต์ยังเป็นการปลุกคนเมาให้สะดุ้งตื่นจากความเมาได้ด้วย เป็นอันว่าคนขับได้นำรถลงจากภูเขาได้โดยปลอดภัย
พอผ่านทางอันตรายมาได้ก็โล่งอก ตอนนี้ก็เข้าสู่ทางธรรมดาเป็นถนนสองเลน ช่วงนั้นรถแล่นไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะอยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม และทางสี่แยกบางแห่งก็กำลังจะสร้างวงเวียน ไฟฟ้าข้างทางมีอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ว่าห่างกันมาก จึงมองไม่ค่อยเห็นทางชัดเจนนัก ระหว่างที่รถกำลังแล่นอยู่บนถนนไปอย่างเรียบ ๆ ด้วยความเร็ว ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉันก็คิดว่าไม่น่าจะอันตรายอะไร เลยหยุดสวดมนต์ เราก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ถนนเงียบมากไม่มีรถอื่นแล่นผ่านหรือสวนกันเลย นอกจากรถของเราคันเดียวเท่านั้น แล้วอยู่ ๆ ฉันก็สวดมนต์โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เสียงที่สวดกลับเป็นเสียงของผู้ชายแก่ ๆ คงจะเป็นเทวดามาสวดมนต์ สวดเป็นภาษาเทพ เสียงน่าฟังมาก ได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที แต่บทสวดนั้น เราไม่สามารถเข้าใจได้เลย คิดว่าคงจะเป็นการสวดคุ้มครอง พอสวดไปได้สักครู่ ก็หยุดชะงักการสวด แล้วมีเสียงเตือนว่าพูด "ระวัง ระวัง ! " พอสิ้นเสียงเตือนเท่านั้นแหละ รถเราก็ค่อย ๆ ทะยานขึ้นกลางอากาศ สูงจากพื้นถนนเกือบสองเมตร ฉันตกใจกลัวแต่ก็ข่มไว้ไม่แสดงออก สามีจับพวงมาลัยรถไว้แน่นอย่างมีสติ แล้วหันหน้ามาถามฉันว่า "เกิดอะไรขึ้นเหรอ ? " ฉันตอบ " ไม่รู้ซิ " พอฉันตอบเสร็จ ก็รู้สึกว่ารถกำลังร่อนลงต่ำ แล้วทันใดนั้นก็กระแทกอย่างแรงกับพื้นถนนเสียงดัง "ตึ้ง" ด้วยแรงกดดันของรถขณะที่ตกลงกระแทกกับพื้น ทำให้ฉันก็ถูกกดกระแทกลงกับที่นั่ง จนรู้สึกเจ็บหน้าอกและลิ้นปี่มาก จากนั้นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ แฟบลงแฟบ สามีฉันก็ได้พยายามขับรถไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหารโต้รุ่งข้างทางแห่งหนึ่ง แล้วเราก็จอดรถทิ้งไว้ที่นั่น คราวนี้ต้องง้อแท็กซี่ให้ไปส่งกลับบ้าน ส่วนรถนั้นเสียหายอย่างไรก็ยังไม่ทราบ
ตอนสายของวันรุ่งขึ้น เราได้ไปตรวจดูสภาพรถ ปรากฏว่าใต้ท้องรถดูไม่ได้เลย เครื่องยนต์ใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ต้องใช้เวลาซ่อมเป็นเดือน ส่วนสถานที่เกิดเหตุนั้น คือทางสี่แยกซึ่งเขากำลังจะสร้างวงเวียน เขาเตรียมขุดหลุมกว้างประมาณ ๒ เมตร ยาว ๓ เมตร ลึก ๒ เมตร ดินบริเวณรอบหลุมสูงเป็นภูเขาเล็ก ๆ เห็นสถานที่เกิดเหตุแล้ว ขนหัวลุก ถ้าตกลงไปในหลุมก็คงไม่รอดแน่ ๆ โชคดีที่รอดตายมาได้ เพราะปู่พระนารายณ์และปู่พญาครุฑพาบินข้ามหลุมนี่เอง ตอนที่บินก็ไม่รู้ว่าบินข้ามอะไร เพราะว่าตอนที่เทวดาบอกเตือน เราก็มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนั้นมันมืดไปหมดชั่วขณะจิตเท่านั้น แทบไม่เหลือชีวิตก็ว่าได้ ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ดีว่าเรามีความเชื่อและศรัทธาในพระรัตนตรัย เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อในคุณธรรมของเทวดา และก็ได้กำลังใจจากน้องสาวช่วยขอบารมีพระแม่กวนอิมและหลวงปู่หลวงพ่อคุ้มครอง ก็เลยรอดปลอดภัยได้มาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกท่านอ่านกัน
สถานที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น ก็เหมือนเป็นสถานที่เตือนความทรงจำของเรา หลังจากนั้นเขาได้สร้างเป็นสัญญลักษณ์เป็นรูปแมงปอกำลังบินร่อนลงบนยอดเขา นี่ก็เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ฉันคิดว่าต้องเป็นปาฏิหาริย์ของเหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑแน่ ๆ เลย เพราะว่ามีเหรียญเดียวที่ได้อัญเชิญติดตัวไปด้วยในวันนั้น เหรียญนี้ฉันได้มาจากหลวงพ่อวัชระ แห่งวัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉันและครอบครัวพร้อมญาติได้ไปแวะเยี่ยมท่านที่วัด จึงถือโอกาสขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อวัชระ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และขอกราบขอบพระคุณพระแม่กวนอิม หลวงปู่หลวงพ่อ ปู่พระนารายณ์ ปู่พญาครุฑ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ได้คุ้มครองข้าพเจ้าและสามีให้รอดจากภยันตรายในครั้งนี้ด้วย
เรื่องนี้ก็คงจะพอเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าอย่าประมาท ขับรถเดินทางไกลไม่ควรดื่มแอลกอฮอร์ ก่อนออกบ้านควรมีสิ่งคุ้มครองพกติดตัว ฝึกสมาธิอยู่เนื่อง ๆ จะช่วยให้จิตสงบสามารถระงับความกลัวได้ หมั่นสวดมนต์จนเป็นอุปนิสัย ยามทุกข์กายทุกข์ใจสวดมนต์คลายทุกข์ได้เป็นอย่างดี เพราะขณะสวดมนต์จิตเป็นกุศล เป็นความสุขในขณะนั้นได้......ท่านผู้อ่านค่ะ อ่านเรื่องนี้จบแล้วก็คงจะได้ข้อคิดบ้างนะคะ สำหรับเรื่องปาฏิหาริย์เหรียญพระนารายณ์เหยียบพญาครุฑก็จบเพียงแค่นี้จ๊ะ โอกาสหน้าพบกันอีกนะคะ.
.............................................