วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

งานวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนาที่ผ่านมานี้  ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดศรีนครินทร์ฯ งานทำบุญฉลองครบรอบ ๑๕ ปี การก่อตั้งวัดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  มีเรื่องแปลกจะเล่าสู่กันฟังค่ะ จะว่าแปลกก็แปลก ถ้าจะมองคนละมุมก็ไม่แปลก คือถ้ามองเป็นธรรมะ    ก็จะไม่มีอะไรแปลกเลย เพราะแต่ละอย่างที่เกิดแล้วปรากฏ ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เรามามองกันแบบปุถุชนที่ยังหลงอยู่ในโลกธรรม เราก็จะเห็นความแปลกหลายอย่าง

ฉันไม่ตั้งใจจะไปทำบุญหรอกนะ  แต่สามีเขาอยากจะไป เพื่อพบคนเก่าแก่ที่เคยร่วมกันทำงาน สมัยเริ่มก่อสร้างวัดใหม่ เพราะสามีฉันเคยเป็นสถาปนิกออกแบบวัดถวาย  และช่วยงานหลายรูปแบบ  โดยไม่หวังค่าเสียเวลาหรือค่าเหนื่อยเลย  เขาเป็นผู้กระตือรือล้นในการก่อสร้างวัดมาก  เป็นผู้หาที่ดินผื้นนี้พบและวิ่งเต้นติดต่อ  เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมาคมวัดไทยและมูลนิธีสมเด็จย่าเพื่อวัดไทย วิ่งเต้นขอวีซ่าสำหรับพระสงฆ์และลูกศิษย์รุ่นแรก สำหรับมาช่วยเหลืองานวัดจนสำเร็จ เขาทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ ในที่สุดถูกขับไล่ออกมาอย่างเป็นทางการเพราะทำดีเกินไป  คือเรียกว่าทำดีไม่เป็น แต่เราก็ไม่ได้ยึดในสิ่งนั้น เรามีสิ่งใหม่ ๆ ทำเสมอที่เป็นบุญเป็นกุศล  การทำความดีไม่มีทางตัน  เพราะบุญมีตั้ง ๑๐ ประเภท ไม่เฉพาะต้องทำที่วัด สวดมนต์  ภาวนาและฟังธรรมอยู่ที่บ้านก็ได้บุญเช่นกัน

นี่ไงถึงว่าแปลก  เราเข้าใจเรื่องกรรมและวิบากกรรม เรายอมแพ้วิบากกรรมเพราะไม่มีทางเลี่ยงได้เลย ในงานนี้เราได้เจอคนเก่าแก่  ที่เคยรู้จักกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ (วันงาน)  เขาก็ยังดีกับเราอยู่เหมือนเดิม มันก็เป็นเรื่องแปลกที่สุดก็ว่าได้  เธอช่างเป็นคนดีมีคุณธรรม เพรียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาท อ่อนน้อมสม่ำเสมอ พูดก็ไพเราะน่ารักไปหมด แถมยังเป็นคนสวยและมีบุคคลิกดี  ความที่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีมารยาทดี เป็นคนมีอุปนิสัยดีเสมอต้นเสมอปลาย  จึงทำให้เธอเป็นคนดูสง่างามกว่าคนอื่น ๆ  เธอชื่อ "อำนวย" นามสกุลฉันจำไม่ได้แล้วเพราะเธอใช้นามสกุลใหม่

งานนี้มีคนที่ไปทำบุญเยอะมาก ส่วนจะได้บุญจริง ๆ นั้นคิดว่าน้อยมาก ๆ เพราะอะไร...เพราะกุศลจิตจะเกิดได้นั้น  จิตจะต้องสงบจากกามคุณ ๕ ไม่ติดข้องยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส  อย่างเช่นขณะพระสงฆ์กำลังเทศน์ บ้างก็สนทนากัน ชวนกันซุบซิบนินทาคนอื่น บ้างก็กินไปฟังพระเทศน์ไปด้วย จิตไม่ได้น้อมพระธรรมเข้ามาข้างในเลย  จิตมัวแต่ไปอยู่ข้างนอก ไม่มีทางเลยที่กุศลจิตจะเกิดได้ในขณะนั้น นั่งฟังเทศน์ทั้งวันได้อกุศลกลับบ้าน แถมทำบุญเยอะแยะ  คิดว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยเงินทอง กลับเป็นอกุศลหมด เพราะจิตไม่สามารถแยก  อะไรคือกุศลหรืออกุศล การทำบุญต้องประกอบด้วยปัญญา  คนเราถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง   คน ๆ นั้นก็จะรู้จักมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  จะรู้จักความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ ๆ  ทุกคนมีกรรมมีวิบากเป็นของ ๆ ตน ไม่ต่างกันเลย ความแปลกและความต่างมันอยูที่จิตใจมีคุณธรรมหรือไม่  คนมีศีลธรรมคุณธรรมหาได้ยากมาก  ในสังคมปัจจุบันนี้ เพราะการที่จะได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากผู้แสดงธรรมได้อย่างถูกต้องนั้น  หาได้ยากยิ่ง  การศึกษาผิด ๆ  ทำให้วางใจไว้ผิด ๆ ได้  จิตไม่สามารถออกจากความมืดบอดได้  จึงหลงติดอยู่กับความมืดบอด  เพราะคิดว่านั้นคือความสว่าง หลงยึดโลกธรรม หลงยึดสมมติบัญญัติ หลงคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย  ตราบใดที่สติปัญญาทางธรรมยังไม่เกิด  ตราบนั้นก็ยังมืดอยู่นั่นเอง

สรุปแล้วการไปทำบุญของฉันวันนี้  ก็ไม่ได้บุญเช่นกัน  อยู่บ้านฟังธรรม สวดมนต์ ฝึกเจริญสติ  สะสมกุศลวันละเล็กละน้อย จะดีกว่าไปหวังบุญจากการไปทำร่วมกับคนมากมาย  แต่ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่ง  ก็เป็นการส่งเสริมและจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป  เราก็ควรที่จะไปร่วมงานบุญตามกาลบ้าง สำหรับเรื่องแปลกแต่จริงวันนี้  ก็ขอจบแค่นี้จ๊ะ ขอให้ท่านผู้อ่านจงมีความสุขกายสุขใจด้วยการมีธรรมะเป็นที่พึงเถิด

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตุ๊กตาผีสิง

เรื่องตุ๊กตาผีสิง เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวฉันเอง  เมื่อต้นปี ค.ศ.2002  ทุก ๆ  ต้นปีฉันจะต้องไปตรวจสุขภาพร่างกายอย่างละเอียด เพื่อความไม่ประมาท  ผลการตรวจร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ  นับว่าโชคดีเหมือนได้ "ลาภอันประเสริฐ" พอวันรุ่งขึ้นมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เกิดขึ้นกับฉันอย่างไม่น่าเชื่อ ลาภอันประเสริฐ ได้อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว นี่แหละหนา" สัพเพ  ธัมมา อนิจจา" ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง พระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ  เป็นสัจจธรรม มีความสุขไม่นาน  แล้วความสุขนั้นก็ดับไป  ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่  เขามาโดยที่เราไม่ต้องเชิญ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วจึงเกิด ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุ  เราไม่สามารถบังคับบัญชา ให้เป็นไปตามที่เราปรารถนาได้เลย  เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ

หลังจากไปตรวจสุขภาพมาแล้ว วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ฉันรับประทานอาหารเช้าแล้ว ได้มีอาการปวดท้องอย่างกระทันหัน เริ่มแรกรู้สึกปวดนิด ๆ  ปวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  รับประทานยาแก้ปวดแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเราลง กลับยิ่งปวดมากกว่าเดิม และท้องก็บวมขึ้นจนแข็งกดไปลง  ยืนหรือนั่งก็ไม่ได้ ต้องนอนท่าเดียว อาการหนักเหมือนคนท้องจะคลอด  ฉันปวดทรมานมากจนเหงื่อกาฬแตก สามีและลูก ๆ นั่งล้อมเตียง มองดูด้วยความตกใจกลัว และทำอะไรไม่ถูก ฉันคิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ ๆ  ไม่รอดแน่แล้ว จึงได้สั่งทุกคนให้ทำใจ  ยังไง ๆ หมอก็ช่วยไม่ได้  เพราะมีอาการแน่นหน้าอกมากขึ้น ๆ  สามีเห็นอาการแย่ขึ้น จึงรีบโทรหาหมอ ๆ ตกใจมากที่อยู่ ๆ เป็นโรคปวดท้องอย่างรุนแรง  เมื่อวานนี้เช๊คสุขภาพก็ปกติดีทุกอย่าง  สามีเลยให้ฉันพูดกับหมอเอง เพราะหมออาจจะไม่เชื่อว่าฉันป่วยหนักจริง  ฉันก็รีบรับโทรศัพท์มาพูด "สวัสดีค่ะ คุณหมอ"  หมอถาม "เกิดอะไรขึ้นกับคุณ"  "คุณหมอ...ฉันปวดท้องจะตายอยู่แล้ว ท้องฉันแข็งและโตมาก  ฉันไม่ไหวแล้ว"  พอฉันรายงานเสร็จ  หมอบอกว่าให้ไปคลีนิกด่วน

ฉันรู้สึกดีใจมาก พอทราบว่าจะได้ไปหาหมอ สามีและลูกสาวได้ช่วยกันจับฉันแต่งตัว รีบสวมเสื้อโค้ตและสวมรองเท้าบู้ทให้ฉันอย่างทะลักทุเลมาก เพราะช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว ฉันถูกพยุงกายขนาบซ้ายขวา พาไปขึ้นรถ  ที่จอดรอรับอยู่หน้าบ้าน   ใช้เวลานั่งรถประมาณ ๑๐ นาที ก็ถึงคลีนิก ระหว่างที่นั่งรถไปหาหมอ รู้สึกว่าอาการปวดเริ่มลดลงและท้องก็เริ่มอ่อนลง  พอลงรถรู้สึกท้องยุบเป็นปกติ  แต่ก็ยังปวดอยู่นิด ๆ  เราต้องขึ้นลิฟไปชั้นที่ ๖ ขณะอยู่ในลิฟ ฉันมีความรู้สึกว่าดีใจมาก และอยากจะหัวเราะเหมือนกับว่าขำอะไรสักอยาก แต่แยกไม่ออกบอกไม่ถูก ว่ามันคืออะไรกันแน่  สามีกับลูกสาวก็งงงันตาม ๆ กัน ที่เห็นอาการปวดและท้องที่โตมาก ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านั้นเหมือนกับจะตายซะให้ได้  


พอเจอหน้าหมอ ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย  ฉันรีบพูดก่อนทันทีว่า "คุณหมอรู้จักฉันมั้ย ดูหน้าฉันให้ดีซิ" หมอก็มองหน้าฉันด้วยสีหน้างงแบบขำ ๆ ฉันเองก็ขำเหมือนกัน (ขำอยู่ข้างใน) ฉันได้ยินลูกสาวและสามีห้ามฉันว่า "มาม้าอย่าพูดอย่างนั้น" ฉันรีบพูดต่ออีกว่า "คุณเป็นหมอที่เก่งแต่คุณไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพหมอหรอกนะ"  หมอก็ถามว่า "เพราะอะไร"  "คุณต้องเอาตุ๊กตาแอฟริกาท้องโตที่ตั้งอยู่บนหลังตู้ออกจากคลีนิกก่อนซิ"  หมอตอบ "ฉันไม่มีที่ไว้ ๆ ที่บ้านไม่ได้  เพราะภรรยาฉันไม่ชอบของเหล่านี้" พอหมอพูดจบ ฉันได้รู้สึกว่า อาการทุกอย่างที่ทรมานแทบตาย ปรากฏว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลย  เป็นอันว่าทุกคนต่างก็ได้เจอ "แปลกแต่จริง" โดยเฉพาะหมอตื่นเต้นมากจนแขนเสื้อใต้รักแร้เปียกหมด  เราก็ลาคุณหมอกลับบ้านโดยที่ไม่ได้ตรวจเช็คอะไรเลย

เพิ่งจะหายงงกันก็ตอนที่  ผีบอกว่า "ให้เอาตุ๊กตาไม้แอฟริกาออกจากคลีนิก"  ฉันนึกออกแล้วว่า วันที่ไปเช็คสุขภาพ ฉันมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้น  แล้วก็นึกในใจว่า "ทำไมเขาเอาตุ๊กตามาไว้ในคลีนิกนะ"  ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่คิดเท่านั้นเอง จิตกับวิญาณต่างภพกัน สามารถสื่อกันได้ เรื่องของเรื่องก็คือว่า วิญญาณที่สิงอยู่ในตุ๊กตาที่หมอเอามาจากอัฟริกาตัวนี้  คงจะตายทั้งกลม และคงจะทุกข์มาก ๆ เพราะจิตก่อนตายยึดอยู่ที่ทุกขเวทนา เมื่อเกิดเป็นผี ก็ยังมีทุกขเวทนาเหมือนกับตอนก่อนตายด้วย   เขาคงอยากจะไปอยู่ที่อื่น เลยอาศัยให้ฉันเป็นสื่อให้  จะสื่อกันดี ๆ ก็ไม่ได้เน๊าะ  ดีว่าดวงชะตาของฉันยังไม่ถึงกับซวยมาก  งานนี้ฉันก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่า "ผี" มีจริง ผีตายโหงหรือผีที่ตายก่อนถึงเวลา ก็จะเป็นผีเร่ร่อนหาที่อยู่ โดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่าง ๆ หรือตามร่างคนที่เจ็บป่วยก็ได้  ก็แล้วแต่ดวง  ผีทำให้คนเจ็บป่วยกระทันหันได้ด้วย  หลังจากนั้น  ฉันก็ได้สวดมนต์และเจริญสมาธิ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผีท้องโตตนนี้  จากนั้นมา พอไปคลีนิก  ผีตนนั้นก็ไม่ตามมาอีกเลย  เขาอาจจะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่แล้วก็อาจเป็นไปได้  เรื่องนี้ก็ตื่นเต้นแทบแย่ตาม ๆ กัน

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไปเมืองนอกกับเทวดา

เรื่องแปลกแต่จริง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว ด้วยการพิสูจน์ด้วยตนเอง
เมื่อเดือนสิงหา ปี ค.ศ.2010 ลูกชายของฉัน มีความประสงค์จุะไปเรียนภาษาอังกฤษที่แอลเอ ปกติเขาเป็นคนไม่เที่ยว  ไม่ดื่มของมึนเมาและไม่สูบบุหรี่ ไม่ชอบการสังสรรค์เฮอา ชอบสวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกรมเป็นประจำสม่ำเสมอดีมาก กลัวการผิดศีลมาก ปัจจุบันอายุ ๒๐ ปี  เขาไม่เคยไปนอนพักค้างคืนตามบ้านเพื่อนฝูงเลย งานอดิเรกชอบเล่นกีต้าและฟังเพลง และยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวมาก่อน  พอได้ยินเขาบอกว่า จะไปเรียนที่แอลเอ ฉันก็ยังไม่แน่ใจนักว่า เขาจะกล้าไปคนเดียว โดยเฉพาะสามีฉัน  เขาไม่สนับสนุนเด็ดขาด ที่จะให้ลูกไปเรียนต่างประเทศ โดยที่ยังไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน

ลูกชายฉันเป็นคนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก เพราะเขาได้ศึกษาธรรมะเบื้องต้นและฝึกทางด้านพลังจิตมาพอสมควร จึงมีความเชื่อมั่นในตนเองมาก  เขาเชื่อเรื่องวิญญาณเพราะเได้สัมผัสโดยตรงอยู่บ่อย ๆ  จากการเห็นแม่ทำหน้าที่  สื่อติดต่อกับวิญญาณให้ทุกคน ที่มีความทุกข์  มาขอความช่วยเหลือ ขอคุยกับเทวดาหรือวิญญาณ  ลูกชายเชื่อว่า เทวดาว่าจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเขาได้  เทวดาท่านนี้มีความสามารถ ด้านดนตรีเกี่ยวกับเล่นกีต้า เขาสามารถสอนให้ลูกชายเล่นกีต้าจนเก่ง โดยไม่ต้องไปเรียนที่โรงเรียน เวลากีต้าเสียตรงไหนหรือสายเอ็นเส้นไหนไม่ดี  เขาก็จะบอกให้แก้ไขได้ถูกต้อง  ลูกชายจึงมั่นใจมาก  ว่าเขาจะไปเรียนไกลบ้านคนเดียวได้  โดยไม่ต้องมีเพื่อนไปด้วย ก่อนตัดสินใจสมัครเรียน  ก็ได้มีการคุสนทนากับเทวดา ๆ บอกว่าไปเรียนได้ ไม่มีปัญหาไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น  เขาจะไปด้วย เทวดากำหนดวันเดินทาง เลือกสถานที่พักและตรวจเช็คสถานที่เรียนด้วย ว่าดีหรือไม่ บอกว่าทุกอย่างโอเค สามีฉันก็ยินยอม ในเมื่อเทวดาบอกเช่นนั้นเราก็สบายใจเบาใจได้

พอถึงวันเดินทาง เทวดาที่จะร่วมเดินทางไปด้วย   มีเพิ่มมาอีกหนึ่งท่าน ๆ นี้มาจากต่างดาว แค่นึกถึงก็จะสัมผัสทันที ลูกชายฉันมีจิตสัมผัสวิญญาณได้เร็ว เวลามีกระแสของเทวดาสองท่านส่งมา เขาจะรู้สึกเจ็บที่หน้าอกข้างขวาทุกครั้ง เป็นสัญญาณให้ทราบว่าเขามา ไม่ใช่มาสิงในร่าง แต่เป็นเพียงกระแสจิตสัมผัส การสื่อของฉันก็เช่นกัน จะแค่รับกระแสจิตสัมผัสเท่านั้น ไม่มีการเป็นลมล้มลง เพียงแค่จิตนึกแค่นั้นก็ติดต่อกันได้ทุกเมื่อ

ลูกชายฉันเดินทางถึงแอลเอวันแรก ฉันได้ลองสื่อถามเทวดาที่ไปกับลูก ถามเขาว่าที่พักเป็นอย่างไร เขาก็เล่าให้ฟัง ว่าลูกชายได้รับการต้อนรับดี ได้ห้องพักดี พอสอบถามลูกชายก็ตอบตรงกัน วันแรกไปโรงเรียนก็ดี ได้ครูดีและเพื่อนดี เขาเลยไม่เหงาไม่คิดถึงบ้าน  เวลาจะไปทำกิจกรรมพิเศษนอกบ้านหลังเลิกเรียน เทวดาก็จะคอยบอกเตือนก่อนว่า  ควรออกนอกบ้านหรือไม่ในวันนั้น ช่วงเวลาไหนดีหรือไม่ดีเขาบอกเตือนอยู่เสมอ  จะคอยดูแลกันอย่างดี  มีอยู่ครั้งหนึ่งเทวดาบอกว่า  จะได้รู้จักกับนักดนตรีชื่อดัง ก็เป็นจริงตามนั้น ครูที่สอนพาไปแนะนำ  ให้รู้จักกับนักดนตรีชื่อดังคนหนึ่ง  เขาเป็นดาราด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาชวนไปถ่ายหนังโฆษณา ใช้เวลาถ่ายทำ ๒๔ ชั่วโมง เราติดต่อลูกไม่ได้  เพราะเขาอยู่ในกองถ่ายทำ เราก็ติดต่อกับเทวดา ๆ ก็บอกเราให้เข้าใจ พวกเราก็เชื่อว่าเทวดามีสัจจะไม่โกหกเรา

มีอยู่วันหนึ่งตอนบ่ายลูกชายมีนัดตอนเย็นกับเพื่อน แม่ธรณีมาส่งข่าวบอกฉัน ให้เตือนลูกว่า เย็นวันนี้อย่าออกบ้าน ถ้าออกจะมีอุบัติเหตุนัก ฉันได้เตือนลูก ๆ ก็เชื่อไม่ออกบ้าน แต่ว่าถ้าอะไรจะเกิด มันก็จะต้องเกิดให้ได้  เพราะว่ามันเป็นวิบากกรรม  มีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล หากเราทราบก่อนล่วงหน้ามันก็จะไม่หนักมาก เย็นวันนั้นลูกชายได้เดินไปสะดุดกับกีต้า สายเอ็นบาดที่นิ้วเท้าเลือดออกมาก ปวดมาก แต่ก็ยังดีกว่า ไปเกิดเหตุอันตรายนอกบ้าน

เทวดาทำหน้าที่ได้ดีมาก  เรามีการสื่อติดต่อกันทุกวัน คุยกันทางอินเตอร์เน็ต มีอะไรสงสัยก็ถามได้ทุกเรื่อง การไปเรียนครั้งแรกในต่างประเทศเป็นเวลา ๙ เดือน ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไม่มีปัญหาให้เราหนักใจ  ผลการเรียนดีเกินคาด เพราะมีเทวดาคอยช่วยคุ้มครองตลอด  แถมยังเป็นที่รักของเพื่อน ๆ และครูบาอาจารย์อีกด้วย  ตอนหลังทางโรงเรียนอยากให้อยูทำงานในฝ่ายธุระการที่นั่น เพราะเป็นคนเดียวที่ พูดแต่ภาษาอังกฤษกับเพื่อน ๆ ไม่ยอมพูดภาษาแม่ของตนเอง ไม่ว่าจะพูดกับเพื่อ่นภาษาเดียวกันก็ตาม เขาเลยทำคะแนนได้ดีกว่าเพื่อน ๆ  นี่แหละ..ผลงานของเทวดา  เทวดามีจริงวิญญาณมีจริง ถ้าเราฝึกจิตให้มีพลังจนมีคลื่น  อยู่ในระดับเดียวกับจิตวิญญาณในโลกทิพย์ได้  เราก็จะสามารถสื่อติดต่อกันได้  ไม่จำเป็นต้องไปรับขันธ์  หรือเข้าทรงอะไรเลยให้ยุ่งยาก ปัจจุบันนี้เทวดาลงมาสร้างบารมี มาปกป้องคุ้มครองพระศาสนากันมาก เพราะมารที่พยายามจะทำลายพระพุทธศาสนามีหลายรูปแบบ ผู้ใดคิดดี ทำดี พูดดีก็จะมีเทวดาที่มีคุณธรรมมาสร้างบารมี และจะตามคุ้มครองทุกหนทุกแห่งด้วย ชีวิตก็จะมีแต่ความร่มเย็นปลอดภัย ควรสวดมนต์ ฟังธรรมและเจริญสมาธิสม่ำเสมอ เพื่อสะสมเป็นอุปนิสัยปัจจัย สืบต่อไปในภพหน้า  ขอทุกท่านจงอยู่ในศีล ในธรรมเถิด ชีวิตจะพบแต่สิ่งที่ดี ๆ  จะได้พบกับความแปลกแต่จริงด้วย

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิญญาณผีตายโหง

วิญญาณผีตายโหงเป็นวิญญาณท่ี่น่าสงสารมาก  เพราะว่าจิตดวงสุดท้ายก่อนจุติเกิด ได้สะสมความกลัวความตื่นเต้นขณะก่อนที่ปฏิสนธิจิตเกิด   จึงมีอกุศลกรรมเป็นปัจจัยนำไปเกิดในทุคติภูมิคืออบายภูมิ  วิญญาณผีตายโหงเป็นวิญญาณ หรือจิตที่ตายก่อนเวลาอันสมควร คือตายอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุ ก่อนตาย   จิตยังติดข้องในกามคุณอารมณ์อยู่ หลังจากปฏิสนธิแล้ว จิตก็ยังไม่ทราบว่าตนเองได้ตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว  ดังมีเรื่องเล่าต่อไปนี้

บ่ายวันหนึ่งในฤดูร้อนหลายปีมาแล้ว แต่ฉันก็ยังจำเหตุการณ์ได้ดีอยู่ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นและแปลกดี  ฉันยังไม่เคยเจอมาก่อน วันนั้นมีเพื่อนรุ่นน้องมาหาฉัน โดยไม่ได้โทรบอกให้ทราบล่วงหน้า เขามากันสองคน  ฉันขอตั้งชื่อสมมุติให้ว่า นิดกับหน่อย ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน  เพราะบ้านอยู่ใกล้เคียงกัน ฉันไม่ได้เจอนิดกับหน่อยหลายเดือนแล้ว เมื่อก่อนนิดเคยมาขอสวดมนต์ฝึกสมาธิกับฉันบ่อย ระยะหลัง ๆ นี้  เขาไม่ค่อยว่างเพราะหารายได้พิเศษด้วยการสอนขับรถให้หน่อย สองคนนี้มาหาฉันเพราะว่าเขารู้สึกคิดถึงฉันมาก เขาบอกว่าไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไร อยากจะมาเยี่ยมอาจารย์ให้ได้ พอมาถึง ฉันก็ต้อนรับตามธรรมเนียมของเจ้าของบ้าน คือทำกาแฟให้ดื่มคนละถ้วย แล้วก็ได้สนทนาไถ่ถามทุกข์สุขกันตามมรรยาท  ขณะสนทนากันไปเรื่อย ๆ  ฉันรู้สึกว่าจิตสัมผัสวิญญาณแฝงมากับนิดและหน่อย ทั้งคู่มีพฤติกรรมแปลก ๆ บางครั้งคุย ๆ กันอยู่ดี ๆ ก็หัวเราะเสียงดังทั้ง ๆที่ไม่มีเหตุน่าหัวเราะ  แล้วอยู่ ๆ  นิดก็พูดขึ้นว่า "หนาวมากเลย รู้สึกหนาวขนลุกทั้งตัวแล้ว" อยู่ ๆ ฉันก็หนาว ทุกคนหนาวขนลุกซู่ทั้งตัวหนาวประหลาด ทั้ง ๆ ที่วันนั้นอากาศร้อนมาก พวกเราก็พากันแปลกใจแล้วก็ต่่างคนต่างก็จ้องมองที่หน้าของนิดเป็นจุดเดียว  เพราะเป็นคนเริ่มหนาวก่อนใคร ทันใดนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าไว้ คงจะเกิดความอายที่เห็นพวกเราจ้องไปที่หน้าแก่คนเดียว  ฉันตกใจตะลึงไปชั่วขณะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่ มือทั้งสองของนิดใหญ่และซีดมาก สามารถปิดใบหน้าของเขาได้มิดสนิทไม่เห็นหน้าเลย  พอพวกเราได้เห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจกลัวตาม ๆ กันงง


โดนผีฝรั่งหลอกกลางวันแสก ๆ  ก็งง ๆ เหมือนกัน พอหายงงงวยแล้ว  เกิดสติระลึกได้ขณะนั้นว่าควรจะทำยังไงดี กับผีพวกนี้  ก็เลยถามเป็นภาษาเยอรมัน(แปลไทย) ว่า "คุณเป็นใคร มาจากไหน" เขาตอบอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงดัดนิด ๆ ให้เหมือนเสียงผู้หญิง (พวกนี่เป็นผีกะเทย) "ฉันชื่อดาเนียนและนี้แฟนฉันชื่อโยเซฟ พวกฉันไม่ทราบว่ามาจากไหน" แล้วเขาก็พูดต่ออีกว่า "ฉันคิดถึงบ้าน ฉันอยากจะกลับบ้าน ช่วยพาฉันกลับบ้านด้วยซิ" ฉันถามเขาว่า " บ้านคุณอยูที่ไหนล่ะ"  "ฉันไม่รู้ว่าบ้านฉันอยูที่ไหน แต่ฉันคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ของฉัน"   เมื่อได้ฟังเขาพูดจบแล้ว ฉันรู้สึกสงสารผีสองตนนี้มากเลย เพราะพวกเขายังไม่รู้ตัวว่า ตนเองได้ตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ในโลกใหม่  คือโลกวิญญาณ....เรื่องรถอุบัติเหตุชนกันบนทางด่วน คนตายคาทีสองคนนี้ ฉันก็เคยได้ยินข่าว เมื่อเร็ว ๆ นี้ จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอผีพวกนี้

ก็ตลกดี  ที่อยู่ดี ๆ ก็มีผีมาหาถึงบ้าน ถ้าไม่แปลกแต่จริงแล้วจะให้ว่ายังไงดีล่ะ.....

ย้อนกลับมาพูดถึงสาวนิด  เธอไม่รู้สึกตัวหรอกว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อครู่นี้  เมื่อเธอรู้สึกตัวเป็นปรกติพวกเราก็เล่าให้เธอฟังด้วยความตื่นเต้น ตัวเธอเองบอกว่า จำเหตุการณ์ได้ว่าตนเองรู้สึกหนาวเย็นจับใจ ขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องว่าตนเองได้ทำอะไรบ้าง......นิดได้เล่าว่าเหตุที่ ผีดาเนียนกับผีโยเซฟตามเขามา ก็เพราะความปากไวของสาวหน่อย  เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ นิดพาหน่อยไปหัดขับรถเข้าถนนสายทางด่วน  ระหว่างที่กำลังขับรถ หน่อยได้เห็นดอกไม้ช่อหนึ่งวางอยู่ข้างถนน  จึงบอกให้นิดหันไปดูดอกไม้ ทั้งสองคนก็ทราบดีว่า ดอกไม้สด ๆ ที่วางอยู่ข้างถนนเป็นสัญลักษณ์ของการตายเพราะอุบัติเหตุ คนไม่รู้เรื่องอะไรก็เที่ยวทักไปทั่ว  ก็เจออะไรแปลก ๆ ได้  ปรากฏว่าทั้งนิดและหน่อย โดนผีตายโหงฝรั่งเล่นตลกอยู่หลายวันจนแย่  จึงได้พากันไปหาฉัน เพื่อที่จะให้ครูบาอาจารย์ช่วยสื่อห้ 

นิดบอกว่าหลังจากที่เขาได้เห็นดอกไม้ข้างทางวันนั้นแล้ว พอกลับมาบ้านก็รู้สึกปวดศีรษะมาก อาเจียนออกเป็นลมไม่มีเศษอาหารเลย  ชอบตื่นดึกแล้วเดินเท้าเปล่าไปหาหน่อยทุกคืน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าวิญญาณสองตนนี้ แยกกันอยู่คนละบ้าน สร้างความเดือดร้อนให้สองสาวไม่น้อยทีเดียว เพราะสามีพวกเขาไม่เข้าใจพฤติกรรมของภรรยาที่เปลี่ยนไป  ตอนดึกต้องมานั่งคุยกันทุกคืนไม่ยอมนอนเหมือนเมื่อก่อน.....นิดกับหน่อยได้ขอร้อง ให้ฉันช่วยสื่อกับพระแม่กวนอิม ขอให้ท่านโปรดผีสองตนด้วย เพราะเขายังไม่ทราบว่าตนได้ตายไปหลายวันแล้ว  พระแม่กวนอิมท่านเมตตามาก  ท่านได้ทำพิธีสวดเป็นภาษาของท่าน ก่อนที่จะสวดก็มีการเทศน์สั่งสอนวิญญาณให้เขายอมรับตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้พวกเขาได้ตายจากโลกมนุษย์แล้ว  ได้ปฏิสนธิในภพใหม่ คือโลกวิญญาณ จะกลับบ้านไม่ได้แล้ว ท่านบอกให้ไปอยู่ที่โบสถ์ฝรั่ง จะได้มีโอกาสอนุโมทนาบุญเวลามีคนเขามาสวดมนต์ในโบสถ์  ผีสองตนก็คงจะเข้าใจตามที่ท่านแม่พูด แล้วท่านก็สวดร่ายมนต์ด้วยเสียงโหยหวญมาก ได้ยินแล้วขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกเยือกเย็นแบบประหลาด ๆ  เมื่อเสร็จพิธีแล้ว  สาวนิดกับสาวหน่อยก็รู้สึกตัวว่าจิตใจสบายเป็นปรกติ  พวกเธอบอกว่า ก่อนหน้านี้จิตใจไม่ค่อยสบาย บางครั้งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผล และไม่ชอบอยู่บ้าน ชอบออกเที่ยว นอกจากนั้นยังมีความรู้สึกแปลก ๆ คือ เกิดความพิสวาทในเพศเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผีสองตนนี้เป็นกะเทยนั่นเอง.....หลังจากที่ได้รับการโปรดจากท่านแม่กวนอิมทั้งมนุษย์และผีแล้ว   ก็คิดว่าเป็นการแฮปปี้เอ็นสำหรับเรื่องนี้จ๊ะ

เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ หรือจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเป็นนามธรรม  จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ยังไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง หรือผู้ที่ยังไม่ได้ฌานจิต ถ้าอยากรู้ก็ต้องฝึกจิตให้มีพลังจนสามารถสื่อกันได้กับโลกวิญญาณ แล้วก็จะรู้เอง  เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้พวกเราท่านทั้งหลาย ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท ดังปัจฉิมโอวาทของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ" ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" จะพูด จะกระทำอะไร ไม่มีสติคุ้มครองกายใจ ต้องเจอภัยแน่ ๆ  ก็เป็นอันว่าจบเพียงแค่นี้จ๊ะ.....แล้วพบกันอีกในบทความใหม่นะคะ


                                                    ...........................



วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแด่...
พ่อขุนราคำแหงมหาราช   คำว่า "รามคำแหง" แปลว่า พระรามผู้กล้าหาญ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง แห่งราชอาณาจัารสุโขทัย เป็นหระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง มีพ่อน้องด้วยกัน ๕ คน เป็นชาย ๓ คน เป็นหญิง ๒ คน พระองค์ได้เสวยราชย์เป็นเวลาประมาณ ๑๙ ปี  (พ.ศ.๑๘๒๒-๑๘๔๑)  ได้รวบรวมอาณาจักรจนกว้างใหญ่ไพศาล เป็นยุคที่เฟื่องฟูมาก พระองค์ได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทย ทรงส่งเสริมด้านศิลปะและวัฒนธรรม  ในสมัยของพระองค์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีระบบการปกครองที่มีประสิทธิภาพ การติดต่อกับต่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีกินดี เจริญด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม การชลประทานและด้านศาสนา ได้ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรไปจากกรุงสุโขทัย มีการปกครองระบบ "ปิตุราชาธิปไตย" หรือ "พ่อปกครองลูก" ซึ่งมีจารึกไว้ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง อ.เมืองเก่า จ.สุโขทัย

เรื่องปาฏิหาริย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  ที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้  เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านของฉันที่เมืองไทย ประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว แต่ก็ไม่ล้าสมัยนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่ประทับใจที่ลืมไม่ลงของผู้ได้ประสบมาด้วยตนเอง  น้องสาวคนหนึ่งของฉันได้ไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อกลับมาถึงบ้าน ในตอนบ่ายกลางวัน ๆ นั้น น้องอีกคนหนึ่งกำลังหลับอยู่ ที่หน้าทางเดินขึ้นบันไดบ้านชั้นบน  ขณะนั้นน้องสาวที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ ได้เห็นน้องสาวคนที่กำลังหลับอยู่นั้น มีอาการกระตุกที่คอ เหมือนกับว่ามีคนเอามือดึงหนังที่คอขึ้น ๆ ลง ๆ  เห็นเนื้อที่คอกระตุกอยู่สักครู่ เขาจึงปลุกให้ตื่นขึ้น  พอตื่นขึ้นมา น้องคนนี้ได้เล่าว่าเขาฝันเห็น "พ่อขุนรามคำแหง" ท่านมาในชุดเครื่องแบบนักรบ ในมือถือดาบ มายืนดูอยู่และเอามือจับคอหอย ดึงขึ้นดึงลง เขาถามน้องที่ไปสมัครเรียน "ม. รามคำแหง" ว่า "ไปเอาอะไรมา พ่อขุนรามฯ ท่านตามมาทวง" น้องตอบว่า "เอากระดุมเสื้อสำหรับที่จะใส่ไปเรียนมา" ด้วยความกลัวและคิดว่า ตนเองคงจะทำผิดถึงกับพ่อขุนรามคำแหงตามมาถึงบ้าน  น้องฉันคนนี้เลยตัดสินใจนำกระดุมเสื้อไปคืนที่ ม.รามคำแหง แล้วก็ไม่ไปเรียนที่นั่นด้วย เพราะว่าคงจะไม่ใช่ที่ท่ี่ตนจะเรียน   ชาติก่อนเขาคงไม่เคยเกี่ยวข้องกับสถานท่ี่ของพ่อขุนรามคำแหงมาก่อน ชาตินี้จึงไม่สามารถเรียนให้สำเร็จได้ดังปรารถนา จึงได้หันไปเรียนอย่างอื่น

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันได้ประสบมากับตนเอง เวลาฉันอยากจะมีรายได้พิเศษจากการสอนหนังสือทีไร ฉันจะขอพ่อขุนรามคำแหงช่วยดลจิตดลใจให้คนมาเรียน  เคยขอท่าน ขอคนมาเรียนสัก ๕ คน ไม่น่าเชื่อเลยแปลกแต่จริง  คนไทยที่เขาไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ใหม่ ๆ เขาต้องการเรียนภาษาเยอรมันกับครูคนไทย พ่อขุนรามท่านเมตตาฉันมากเลย ฉันได้จำนวนนักเรียนตามที่ขอ คือนักเรียนมา ๕ คน แต่ยังอยู่ในท้องแม่อีกสองคน นอกจากนั้นท่านยังเมตตาให้ฉันได้สถานที่ตั้งโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า  คือห้องประชุมในร้านอาหารของฝรั่ง ซึ่งปกติจะต้องเสียค่าเช่าเป็นชั่วโมง จากนั้นมาฉันก็มีคนไทยมาเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่เคยว่างเลย และยังเปิดสอนภาษาไทยให้กับชาวสวิสอีกด้วย ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพ่อขุนรามคำแหงนี่เอง ฉันจึงคิดว่าควรที่จะนำมาเล่าเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ทราบกัน ข้าพเจ้าขอถวายบทความนี้ต่างดอกไม้ ธูป เทียน กราบถวายบังคมแด่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทวดาเจ้าบ้านเจ้าเรือน

ภาพปราสาทโบราณอายุ ๗๐๐ ปีกว่า
เจ้าบ้านเจ้าเรือน ที่ฉันจะนำมากล่าวนี้ เป็นเรื่องเร้นลับและแปลกแต่จริง ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยเจอประสบการณ์อย่างที่ฉันเจอหรือเปล่าคะ  คำว่า "เจ้าบ้านเจ้าเรือน" ในที่นี้หมายถึงเทวดาที่ดูแลคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้านเรือนนั้น ๆ  ส่วนเจ้าของบ้านจะสัมผัสได้อย่างไรนั้น ก็แล้วแต่ว่าเทวดาท่านจะแสดงฤทธิ์หรืออภินิหารอย่างไร เป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อตอนที่ฉันอยู่บ้านที่เมืองไทย ไม่เคยมีประสบการณ์แปลก ๆ เช่นนี้เลย คิดว่าบางท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ฉันจึงได้นำมาเล่าสู่กันอ่าน เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ การกระทำสิ่งใดก็ตาม  อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ใครเห็น  การกระทำทางกาย วาจา และใจ บางครั้งเราคิดว่าเราเก็บเป็นความลับได้  แต่หารู้ไม่พยานที่ซื่อสัตย์ของเรามีนะคะ ทำดีไม่สูญเปล่า ทำไม่ดีจะขาดทุนยับเยิน  เพียงแค่คิดอกุศลก็ขาดทุนแล้ว  เทวดาเป็นพยานในการกระทำของมนุษย์  ดังเรื่องตัวอย่างต่อไปนี้

ที่บ้านของฉัน

ใครก็ตามที่เข้ามาในบ้านของเรา  ถ้าเป็นคนที่มีความประพฤติไม่ดี จะโดนเทวดาเจ้าบ้านเจ้าเรือนตักเตือนสั่งสอน ท่านไม่ยกเว้นเลยนะ เคยมี พระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง ( จำนวน ๕ รูป) จากวัดชื่อดังในเมืองไทย มาร่วมงานฉลองเปิดวัดไทย ได้มาฉันเพลที่บ้านฉัน เพราะมีคนแนะนำให้นิมนต์ท่าน  มีพระรูปหนึ่ง (หัวหน้ากลุ่ม) ชอบใช้คำสรรพนามบุรุษที่สามไม่สุภาพต่อเจ้าของบ้าน  เช่น คำว่า "ไอ้" หรือ "อี" เป็นต้น พอฉันอาหารเสร็จ ท่านก็รี่เข้าห้องน้ำทำกิจส่วนตัว เสร็จแล้วปรากฏว่า  ท่านไม่สามารถเปิดประตูห้องน้ำได้ ติดอยู่ในห้องน้ำตั้งนาน ไม่มีใครทราบ ฉันสงสัยว่าหลวงพ่ี่่หายเงียบไปไหนรูปหนึ่ง  จึงไปที่ห้องน้ำ ได้ยินเสียงท่านพยายามไขลูกกุญแจอยู่  ฉันจึงบอกวิธีบิดลูกกุญแจให้ ท่านได้พยายามจนอ่อนใจ ฉันทราบทันทีว่า  พระรูปนี้โดนขังเพราะอะไร  พอฉันนึกได้เท่านั้นแหละ ประตูก็ถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย

มีแม่ชีพราห์มท่านหนึ่ง มาจากเมืองไทย มาเยี่ยมฉัน ท่านโดนขังเกือบชั่วโมง  ต้องส่งลูกชายตัวเล็ก ๆ ปีนหน้าต่างเข้าไปช่วยเปิดประตูให้  เพราะท่านพูดจากล้าหาญ ไม่เกรงกลัวว่าเทวดาจะได้ยิน  จึงโดนเทวดาเจ้าบ้านตักเตือนแค่เบาะ ๆ  คนไหนมีอาชีพไม่สะอาด ไม่ซื่อสัตย์ หรือไม่ให้เกียรติต่อสถานที่และเจ้าของบ้าน ถ้าเข้าห้องน้ำก็จะถูกขังอยู่เป็นเวลานาน..... มีอีกเรื่องหนึ่งตลกดี มีเด็กสาววัยรุ่น ๓ คน เขามากับแม่เขา ซนมาก ๆ นั่งเฉย ๆ ไม่เป็น ชอบทำพฤติกรรม ในทำนองก่อกวนอารมณ์ผู้ใหญ่ให้ขุ่น เช่น ชอบเปิดปิดไฟเล่น โดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน  แม่ดุว่าก็ไม่ยอมหยุด ไม่ทราบว่าพวกเธอไปทำอีท่าไหน โดนขังในห้องน้ำพร้อมกันทีเดียวสามคนเลย  ไม่สามารถไขกุญแจออกมาได้ ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วเป็น "แปลกแต่จริง" ไงล่ะ  เวลามีการทำบุญที่บ้านฉัน  คนไทยที่ไปร่วมทำบุญ  บางคนเวลาเขาจะเข้าห้องน่ำ  ต้องมีคนคอยยืนเฝ้าหน้าประตูให้ กลัวจะโดนขัง เขาคงจะคิดอะไรไม่ค่อยดีนัก  ก็เลยเกิดความไม่แน่ใจ  แค่คิดไม่ดีก็โดนเตือนแล้ว  ถ้ากระทำไม่ดียิ่งจะโดนหนักกว่านี้
ถึงกับเลือดตกยางออกได้.....นี่แหละค่ะเทวดาเป็นพยานในการกระทำดีกระทำชั่วของมนุษย์  ทำดีไม่มีใครเห็น ไม่มีใครชม ไม่ต้องน้อยใจนะคะ ทำดีต่อไปเถิดนะคะ ไม่สูญเปล่าเพราะว่าเทวดามีจริง....เรื่องนี้ก็ขอยุติเพียงแค่นี้จ๊ะ  พบกันอีกในบทความต่อไปนะคะ.

                                               ...................................

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คนธรรพ์กริ้ว

คนธรรพ์  อ่านว่า คน-ทัน จากพจนานุกรม  แปลว่า ชาวสวรรค์หรือเทวดาพวกหนึ่ง เป็นเทวดาชั้นต่ำสุด อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ ถือกำเนิดในต้นไม้และสิงอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม  คนส่วนใหญ่จะรู้จัก "คนธรรพ์ ในนามของ "นางไม้" เช่น นางตะเคียน นางตานี  คนธรรพ์เป็นเทวดาที่อยู่ในความปกครองของ ท้าวธตรฐ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของสวรรค์ชั่นจาตุมหาราชิกา อยู่ทางด้านทิศตะวันออก เทวดาเหล่านี้มีความสามารถทางด้านดนตรี ขับร้องฟ้อนรำ ศิลป ละคร และวรรณกรรม  เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ชอบทำบุญประกอบด้วยกามคุณมากกว่าประกอบด้วยปัญญา คนธรรพ์ยึดต้นไม้เป็นที่อยู่ของตน ถ้าผู้ใดไปตัดต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมไปทำอะไรก็ตาม  พวกคนธรรพ์ก็จะตามไปสิงอยูในไม้นั้นด้วย เช่น   วันดีคืนดีเขาก็จะแสดงฤทธิ์ให้เจ้าของบ้านได้สัมผัส จะเจอแบบดีหรือแบบร้ายก็ต้องแล้วแต่ดวงของท่าน ต้องเจอเองจ๊ะ

ที่ฉันตั้งชื่อว่า "คนธรรพ์กริ้ว" มีเรื่องเล่าค่ะ  เมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว  ก่อนวันคริสต์มาสหนึ่งวัน สามีของฉันได้สั่งคนมาโค่นต้นสนซึ่งปลูกเป็นรั้วหน้าบ้าน ปลูกมาร่วมสามสิบปีแล้ว ฉันไม่ทันได้จุดธูปบอกกล่าวให้รุกขเทวดาและบรรดาคนธรรพ์ให้ทราบล่วงหน้าก่อน ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันได้จุดธูปขอขมาไปแล้วในวันนั้น คงจะช้าไป แต่ท่านคนธรรพ์ก็ยังเฉย ๆ อยู่ ฉันคิดว่าท่านคงไม่เอาเรื่องพวกเรา  ที่ไหนได้ท่านแอบไปเล่นงานหัวหน้าช่าง ที่เราจ้างมาโค่นต้นไม้  เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกระทันหัน ด้วยโรคหัวใจวาย โชคดีไม่ถึงกับเสียชีวิต ท่านคนธรรพ์นี่กริ้วน่าดูเลย  ฉันคิดว่าท่านคงไม่โกรธเจ้าของบ้าน เพราะว่าเราต้องการจะปลูกต้นไม้ใหม่ให้ดูดีกว่าเดิม แต่เทวดาท่านไม่เข้าใจมนุษย์ แหม...โกรธอยู่หลายวันเชียว ท่านคิดบัญชีรวบยอดกับเรา ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  เทวดาก็ยังมีกิเลสเหมือนมนุษย์นี่แหละ ยิ่งชั้นต่ำ ๆ ยิ่งมีจิตอาฆาตพยาบาลน่ากลัวด้วยล่ะ  แต่ถ้าเราทำถูกต้อง  ท่านก็ดีต่อเราเหมือนกัน แล้วใครจะไปรู้กฏระเบียบของเทวโลกล่ะ  ตอนนั้นฉันเองก็ยังไม่มีความรู้ความสามารถในการสื่อติดต่อกับโลกวิญญาณหรือโลกทิพย์ ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง คือท่านคงรู้เรื่องเรา แต่เราไม่รู้เรื่องท่าน

ย้อนหลังไปเมื่อสิบปีก่อน คืนวันหนึ่ง เป็นเวลาสองยามแล้ว หลังจากที่ได้สวดมนต์ภาวนาเรียบร้อยแล้วก็เข้านอนตามปรกติ  แต่คืนนี้ขณะที่กำลังจะเอนหลังนอน รู้สึกว่าจิตใจมันร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  ลุกจากเตียง แล้วรี่ไปที่หน้าต่าง ยกกำปั้นข้างขวาทุบที่กระจกหน้าต่างอย่างสุดแรง ดีว่าสามีนอนอยู่ที่นั่น ได้ยินเสียงดังที่หน้าต่าง (คงกลัวหน้าต่างจะแตก) เขารีบจับมือฉันแน่นเพื่อไม่ให้ทุบครั้งที่สองอีก  แต่ฉันรู้สึกว่า ขณะนั้นไม่ใช่ตัวฉันเองที่โกรธ ไม่ทราบว่าผีที่ไหนมาเล่นงานเรา จากนั้นก็มีเสียงร้องดังสุดขีดจนหมดสติ นอนฟุบอย่างไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น  สักครู่่ก็ค่อย ๆ  เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ ตอนนั้นรู้สึกตัวแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เรียกว่ายังงง ๆ อยู่.... ทีนี่แหละตื่นเต้นยังกะอะไรดี...เกิดมาก็เพิ่งจะเจอ ไม่ทราบว่าผีหรือเทวดากันแน่ ตัวเองก็ไม่มีแรง แต่ว่ายังมีสติรู้ว่า ไม่ใช่จิตของเราที่เป็นเช่นนี้  มันเป็นจิตแฝงเข้ามาชั่วขณะ  ซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถ ต่อต้านพลังแฝงนี้ได้เลย อยู่ ๆ ก็พูดออกมาเป็นภาษาอะไรก็ไม่ทราบ ท่าทางคงจะแก่แรดเลย เพราะเวลาพูดน้ำลายไหลยืดเชียว ไม่มีใครเข้าใจภาษาของโลกทิพย์  เขาก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นพูดภาษาไทย พวกเราก็เข้าใจ เขาบอกว่าตัวเขาเองคือหัวหน้าของพวกคนธรรพ์ เขาโกรธพวกเรามาก ที่ให้คนไปตัดต้นไม้ของเขาโดยพลการ ไม่บอกกล่าวให้ทราบก่อนล่วงหน้า เราก็ตกลงว่า "ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก ถ้ามีการตัดต้นไม้อีกก็จะบอกให้ทราบล่วงหน้าก่อน" จากนั้นเราทั้งครอบครัว ก็ได้ออกไปจุดธูปขอขมาคนธรรพ์และรุกขเทวดากันกลางดึกในสวนหน้าบ้านในคืนนั้น  พอเสร็จการขอขมาแล้ว ฉันก็รู้สึกตัวเป็นปกติ แต่มือที่ไปทุบหน้าต่างซิมีอาการปวดมาก ที่สันมือเขียวช้ำและกระดูกหัก ต้องเข้าเฝือกเป็นเวลา ๑ เดือน นี่แหละผลของการไม่เชื่อแล้วยังชอบหลบหลู่่

ท่านอ่านเรื่องนี้แล้ว  ก็คงพอจะได้ข้อคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อเทวดาที่บ้านได้ถูกต้องนะคะ จะได้ไม่โดนเทวดาสั่งสอนเหมือนที่ฉันโดนมาแล้ว นับตั้งแต่นั้นมาเราก็เป็นมิตรกับเทวดา เวลาจะตัดต้นไม้ก็จะจุดธูปบอกล่วงหน้า ๓ วัน แล้ววันที่จะตัดต้องบอกกันแต่เช้า  เพื่อที่ท่านคนธรรพ์และท่านรุขเทวดาจะได้ย้ายที่อยูชั่วคราว หรือว่าไปเที่ยวที่อื่นก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะสะดวก..... สิ่งเร้นลับมีจริงค่ะ  อ่านแล้วไตร่ตรองพิจารณาด้วยปัญญาของท่านเอง  พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง  หรือจะลองพิสูจน์เองก็ได้จ๊ะ .....ขอทุกท่านจงเป็นที่รักของเหล่าเทวดาเทอญ.....พบกันอีกในบทความใหม่นะคะ


                                        ..........................................



วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พิธีมงคลสมรสของชาวฮินดู

โอม พระศิวะ

งานแต่งงานชาวฮินดูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เจ้าบ่าวเจ้าสาวและพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย
 เจ้าบ่าวเจ้าสาวและพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย  
เจ้าบ่าวเจ้าสาวและญาติ
วันนี้ฉันได้ไปงานแต่งงานของชาวฮินดู เขาจัดในวัดใหม่เป็นครั้งแรก ได้เก็บภาพสวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่าน  ใครได้ชมก็ถือว่ามีวิบากทางตาดีมากเลยวันนี้ งานนี้แปลกหลายอย่างค่ะ  ทุกคนต้องยืนถึงสองชั่วโมง นั่งเฉพาะตอนรับประทานอาหารเท่านั้น  ต้องนั่งกับพื้น ใครไปงานแขกจะกลับบ้านก่อนโดยไม่รับประทานอาหารไม่ได้ค่ะ  เขาถือว่าเสียมารยาท สำหรับฉันกับสามี พวกเขาเข้าใจดี เราไม่สะดวกที่จะนั่งรับประทานกับพื้นเย็น ๆ  เขาก็จัดอาหารแพ็คใส่ถุงให้ไปรับประทานที่บ้านทั้งครอบครัว อาหารงานนี้พิเศษมากค่ะ ไม่ได้รับประทานบ่อย ๆ เพราะว่าเขาทำเฉพาะงานสำคัญ ๆ เท่านั้น ก่อนกลับบ้าน  แขกที่มาร่วมงานก็จะได้รับแจกอาหารให้ไปรับประทานกับครอบครัวด้วย ทุกคนไม่ปฏิเสธ งานนี้ไม่ใหญ่โตและก็ไม่หรูหร่า มีแต่ญาติพี่น้องและคนสนิทมาร่วมอวยพร  ชาวฮินดูเขาบูชาไฟ เขาจะไหว้ไฟกันหลายรอบ คงจะราว ๆ ๑๓ รอบ  พอเจ้าสาวเจ้าบ่าวเจิมหน้าผากให้กันและกันเสร็จ ก็จะพากันมากราบองค์์พระศิวะ ภาพกราบก็น่าดู เขากราบคล้าย ๆ ชาวธิเบต (เสียดายจับภาพไม่ทัน) จากนั้นทั้งคู่ก็จะเดินตามพ่อแม่ฝ่ายชาย ไปเดินรอบเทวลัยของพระศิวะ ๑ รอบ  เป็นการแสดงคาระพระศิวะ  แล้วกลับมายืนคู่กันหน้าองค์เทพทั้งหมด  เพื่อให้ญาติพี่น้องและแขกร่วมถ่ายภาพที่ระลึก


ในงานนี้บ่าวสาวมีของชำร่วยแจก ทุกคนต้องรับของชำร่วย แล้วรีบใส่ปากทันที "น้ำตาแคนดี้สีขาว"  ต้องอมน้ำตาลให้บ่าวสาวเห็นด้วยนะ  เหมือนกับเป็น "การอวยพร" ให้พวกเขารักกันหวานชื่นเหมือนน้ำตาล  ยังมีแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ แม่ของบ่าวสาวแต่งชุดส่าหรีแบบเดียวกันสีเดียวกันด้วยล่ะ
บรรดาญาติก็ยังใส่สาหรี่สีเหมือนกันอีก น่ารักดีจัง เห็นแล้วสบายตาสบายใจ แหม..วันนี้มีวิบากทางตาดีมากเลย แถมยังมีวิบากทางลิ้นก็ไม่แพ้กัน ได้ลิ้มรสอาหารอร่อยพิเศษกว่าทุกวัน วิบากทางหูก็เลิศเลย ได้ยินเสียงเพลงแขกไพเราะเร้าใจดี  แต่วิบากทางกายไม่ค่อยดีนัก วันนี้อากาศตลบตะแลงหน่อย เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อนมาก ๆ  ไม่มีใครท่าอะไรกับธรรมชาติได้ ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรมะ ทุกอย่างก็ต้องหนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์เช่นกัน  สำหรับเรื่องแปลกของแขกก็ขอยุติไว้แค่นี้ ไม่แน่อาจจะมีแปลกกว่านี้มาเล่าอีกนะ  ติดตามต่อไปนะคะ   โอมพระศิวะ

อาหารคาววันวิวาห์
ขนมหวานวันวิวาห์

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระพิฆเนตร

พระพิฆเนตร

โอม พระพิฆเนศวร ข้าพเจ้าขอถวายบทความนี้เป็นเครื่องบูชาต่างเครื่องสังเวยทั้งหลาย ขอพระพิฆเนศวรได้โปรดปกป้องคุ้มครองให้ทุกท่านพ้นภัยพิบัติทั้งหลายเทอญ ขอจงประสบแต่ความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาเทอญ

ประสบการณ์เกี่ยวกับพระพิฆเนตร ที่ว่าแปลกยังมีอีกมากมายค่ะ  เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงจะได้สัมผัสกับปาฏิหาริย์ของพระพิฆเนตรมามากมายแล้วเช่นกัน  ฉันเองไม่เคยคิดว่าตนเอง จะต้องเข้าไปเกี่ยวของกับการสร้างวัดฮินดูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่ากฏหมายบ้านเมืองของเขาเข้มงวดมาก เกี่ยวกับการก่อตั้งศาสนสถานของศาสนาอื่น ๆ เริ่มตั้งแต่การขอจดทะเบียนก่อตั้งสมาคม แต่ทุกอย่างก็ผ่านตลอด ถึงแม้ว่าจะมีชาวบ้านในหมู่บ้านรอบบริเวณที่จะสร้างวัด เขาต่อต้านถึงกับขึ้นศาลฟ้องร้องกัน  แต่พวกชาวบ้านก็แพ้โดยดี แปลกดีมั้ยคะ.... เทพเจ้าต้องการมาสร้างบารมีในโลกมนุษย์  จึงไม่มีใครขัดขวางได้สำเร็จ หากใครขัดขวาง เพียงแค่คิดก็แย่แล้ว ดีไม่ดีจะถูกลงโทษไม่รู้ตัว เพราะเป็นมารขัดขวางการสร้างบารมีของเทพเทวดา

เกี่ยวกับศาสนาฮินดู เท่าที่ฉันได้สังเกตมาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกจะเกี่ยวข้องกับตัวเลข "3" เป็นตัวเลขศักดิ์สิทธิ์  ตัวอย่างเช่น ฉันได้องค์พระพิฆเนตรมาจากวัดไทย (วัดพุทธวิหาร เอชาลองส์ เมืองโลซานน์) เมื่อวันที่ 3 เดือน ก.ค. พระท่านให้มาไว้บูชาที่บ้าน  นี่ก็เลข ๓ อีก.....ทางการได้ออกใบอนุญาตสร้างวัดฮินดูได้ ก็เป็นวันที่ 3 ......ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ก็ตรงกับ วันที่ 3..... เลขที่อยู่อาศัยของวัดหมายเลข13.....ท่านผู้อ่านทราบมั้ยคะ ว่าเพราะอะไรจึงเกี่ยวกับตัวเลข 3  เดี๋ยวมีคำตอบจ๊ะ

และที่แปลกแต่จริงอีกอย่างคือ  มีคนไทยครอบครัวหนึ่ง ได้ไปร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 3  หลังจากนั้น 3 ปี  เขาได้ไปชมวัดเป็นครั้งแรกในวันที่ 3 เดือนพฤษภา  และเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ปีที่แล้ว ครอบครัวคนไทยที่ว่านี้ ได้พาพระอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดไปชมวัดฮินดูอีกครั้ง  ซึ่งตัวเขาเองก็แปลกใจมาก ๆ  ที่ไปวัดฮินดูทีไรจะตรงกับวันที่ 3  ทุกครั้งไป...... ฉันคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ "ตัวเลข 3" นี้ต้องเป็นเลขที่ศักดิ์สิทธิ์แน่ ๆ เลย
ชาวฮินดูประกิบพิธีวันขึ้นปีใหม่ในเทวสถานใหม่
          
ฉันได้ค้นคว้าตำราเกี่ยวกับศาสนาฮินดู  เพื่อศึกษาให้เข้าใจ ก็ได้พบความจริงว่า ตัวเลข 3 เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู เรียกว่า "โอม" มีลักษณะเขียนเหมือนเลข 3 ....ก็เป็นจริงดังที่เราคิด  เป็นตัวเลขที่ศักดิ์สิทธิ์  เพราะคำว่า"โอม" เป็นคำสวดบูชาเทพเจ้าสามพระองค์ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหมหรือพรหมมะ  ทั้งสามพระองค์นี้
ท่านเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนาฮินดู  ถ้าเราจะแสดงความเคารพหรือคารวะเทพเจ้า  ก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องคือ ยกมือไหว้แล้วกล่าวคำว่า "โอม" เทพเจ้าก็จะเมตตาคุ้มครองเรา  หรือช่วยเราให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปราถนาได้ แต่มีข้อแม้ว่า เราต้องเป็นผู้ปฏิบัติตนในหลักของ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญาด้วย เพราะเทพเจ้าหรือเทวดาทั้งหลาย ท่านลงมาสร้างบารมีกับมนุษย์  ต้องไม่เป็นผู้หลง เชื่อแบบงมง่าย หรือเป็นผู้ไม่มีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริงของสัจจธรรม เป็นผู้มีเหตุมีผล รู้จักพิจารณาไตร่ตรองก่อนเชื่อในสิ่งใด ๆ
ภาพสเก็ตสถานที่วัดในฝัน
         

 มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงไปได้  แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว ย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.2000 สามีฉันได้ฝันเมื่อราว ๆ ตี 3 ได้ฝันเห็นพื้นที่แห่งหนึ่ง มีเจดีย์ยอดสีทองเรียงรายเต็มพื้นที่ไปหมด มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ๆ  ด้านขวาของพื้นที่เป็นภูเขาสูง  มีรางรถไฟและมีรถไฟแล่ยผ่าน  ด้านซ้ายมีลำน้ำและต้นไม้ขนานกับรางรถไฟ  เขาได้ตื่นขึ้นมานั่งสเก็ตภาพให้ฉันดูด้วย แล้วก็เก็บภาพสเก็ตนั้นไว้อย่างดี เพราะว่าสวยมาก 

เมื่อปีที่แล้วสามีฉันเกิดนึกได้ว่า  เขาเคยฝันเห็นสถานที่วัดและได้สเก็ตภาพไว้ จึงไปค้นมาดู ก็เห็นภาพสเดต็นั้น มีลักษณะเหมือนสถานที่วัด ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ขณะนี้ ตรงตามความจริงทุกประการ และในคืนเดียวกันกับที่สามีฝัน เกี่ยวกับสถานที่วัดนั้น  ฉันก็ฝันว่ามีผู้ชายแขกหล่อมากเลย  ยืนอยู่บนภูเขา แล้วชี้มือลงไปที่พื้นที่ข้างล่าง  บอกว่าจะให้สามีฉันสร้างเมืองให้เขา ในที่สุดความฝันก็กลายเป็นความจริงอย่างไม่น่าเชื่อ  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีจริง  อยู่ที่ว่าใครจะสัมผัสอย่างไรบ้าง  ก็เป็นเรื่องของการสะสมบุญบารมีแต่อดีตชาติของแต่ละคนแตกต่างกันไป  เป็นวิบากกรรมที่เราได้กระทำมาแล้ว และจะส่งผลให้เราได้เสวย  ก็แล้วแต่กาลเวลาและเหตุปัจจัย......บทความนี้ก็ขอจบเพียงแค่นี้จ๊ะ
"โอม พระพิฆเนศวร"

                                           .............................................

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องแปลกเกี่ยวกับพระพิฆเนตร

ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบทความนี้ ต่างเครื่องหอมและเครื่องสังเวย แต่ "พระพิฆเนตร" เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่พระองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู

พระพิฆเนตรหรือพระพิฆเนศวร เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู  นับว่าเป็นเทพเจ้าท่ี่มีคนนิยมนับถือบูชากันมากที่สุดในโลกมากกว่าการนับถือองค์เทพอื่น ๆ เพราะเหตุว่าชาวฮินดูมีความเชื่อว่า "พระพิฆเนตร" เป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ขจัดอุปสรรค เป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและด้านศิลปะทุกแขนงอีกด้วย

ฉันมีประสบการณ์แปลกประหลาด เกี่ยวกับพระพิฆเนตร  จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อประดับความรู้ เมื่อวันอังคารที่ 3 กันยายน ค.ศ.2002 ฉันและสามีได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดไทย (วัดพุทธวิหาร, เอชาลองส์ เมืองโลซานน์) พระอาจารย์สมชัย ผู้รักษาการแทนท่านเจ้าอาวาสในปัจจุบันนี้ ท่านได้เมตตามอบพระพิฆเนตร (ในภาพ) ให้แก่สามีฉัน ๑ องค์ ส่วนฉันท่านมอบองค์พระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ให้ ท่านบอกกับสามีฉันว่า "ถ้าผู้ใดบูชาพระพิฆเนตรสม่ำเสมอด้วยความศรัทธา ผู้นั้นก็จะมีงานทำมากมาย" หลังจากที่เรามีองค์พระพิฆเนตรไว้บูชาในบ้าน ไม่นานนักก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของคนในครอบครัว เช่น ลูกสาวประสบความสำเร็จด้านการเรียนและการงานมาตลอด และลูกชายประสบความสำเร็จด้านเรียนดนตรีเล่นกีต้าซึ่งเป็นวิชาที่เขาชอบมาก  ลูก ๆ ชอบสวดมนต์และทำสมาธิเป็นประจำ จากเมื่อก่อนทำบ้างไม่ทำบ้าง ทุกคนรักและบูชาพระพิฆเนตรอย่างสม่ำเสมอ สามีก็เช่นกันให้ความเคารพด้วยการยกมือไหว้ทุกเช้าเช่นเดียวกับไหว้พระพุทธรูป นี่เป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงแค่นิดหน่อยค่ะ

เมื่อปี ค.ศ. 2004 ต้นเดือนกุมภาพันธ์ สามีฉันได้รับโทรศัพท์จากชาวสวิสคนรู้จักกัน โทรมาติดต่อสามีให้ไปช่วยชาวฮินดูสร้างวัด เขาเป็นเจ้าของที่ดินและต้องการขายที่ดินด่วน เห็นมั้ยค่ะ...แต่ละอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทั้งนั้น เพราะมีองค์พระพิฆเนตรเป็นเหตุนั้นเอง นับตั้งแต่วันนั้นมาชีวิตของเราทั้งครอบครัวก็เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับชาวฮินดูอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เลย   ฉันได้สนับสนุนสามี ให้เข้าไปช่วยสร้างวัดฮินดู  เป็นไงคะ.. เริ่มแปลกไม่คะ  เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธแต่ไปสนับสนุนการสร้างวัดของศาสนาอื่น ฉันทำบุญและเข้าวัดเข้าโบสถ์ได้ทุกศาสนา เพราะมีความเชื่อว่าทุกอย่างจะดีหรือชั่วอยู่ที่ใจเรา ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี ทางสมาคมฮินดูโดยมีประธานสมาคมได้เป็นผู้มาติดต่อกับพวกเราเป็นส่วนตัว เราเร่งดำเนินการช่วยเขาทันที เริ่มด้วยการติดต่อทางการขอจดทะเบียนสมาคมให้ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นอันดับแรก แล้วจึงซื้อที่ดิน จากนั้นก็ช่วยเรื่องหาปัจจัยสำหรับการก่อสร้าง ในที่สุดความฝันของชาวฮินดูก็เป็นความจริง พวกเขาเป็นพวกอัพยพความเป็นอยู่ลำบากกว่าคนไทยมาก และมีฐานะดีเป็นส่วนน้อย จึงไม่ค่อยมีการเสียสละหรือทำบุญมากมายเหมือนชาวพุทธ แต่พวกเขารักและสามัคคีกันดีมาก เป็นอันว่างานสร้างวัดฮินดูในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็มีคนไทย
หนึ่งคนและคนสวิสหนึ่งคน นอกนั้นเป็นชาวศรีลังกาหมด แปลกดีมั้ยคะ ยังมีแปลกกว่านั้นอีกนะ การหาปัจจัยสร้างวัดก็แปลกเพราะปัจจัยส่วนใหญ่ได้มาจากเศรษฐีนีชาวสวิสช่วย ซึ่งเขาก็ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาฮินดูเช่นเดียวกับพวกเรา แต่เขาก็ช่วยด้วยความเต็มใจ แสดงว่าต้องเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระพิฆเนตรและเทพเจ้าต่าง ๆ ของศาสนาฮินดูแน่ ๆ ที่ดลใจให้มีคนเข้าไปช่วย ขณะนี้การก่อสร้างก็ใกล้จะ
เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ.....สำหรับเรื่องพระพิฆเนตรก็ขอจบเพียงแค่นี้ก่อนน่ะ ไว้มีเรื่องใหม่ ๆ น่าสนใจ จะมาเล่าให้ฟัง (อ่าน) กันอีกจ๊ะ

ท่านที่นับถือบูชาพระพิฆเนตร  ก็คงจะเคยประสบกับความแปลกต่าง ๆ กันไปนะคะ ลองเขียนมาเล่าเผยแพร่บารมีพระพิฆเนตรร่วมกันก็ได้    

                                               
                                                 .................................