วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชมพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช


สวัดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศหนาวมาก ๆ  เลย  มีหิมะตกทั่วประเทศ ปีนี้หิมะตกมากกว่าเมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมา  ที่บริเวณบ้านฉันหิมะท่วมสูงประมาณ ๓๐ ซ.ม.  ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างโดนหิมะปกคลุมขาวสว่างไปหมด ก็สวยไปอีกแบบ  แต่วันนี้อากาศเล่นตลก  ฝนตกหนักทั้งวันหลังจากที่มีหิมะตกทุกวันเป็นเวลา ๑ สัปดาห์เต็ม  หิมะเจอฝนก็ต้องแพ้ฝนอย่างแน่นอน  ต้องละลายสลายตัวอย่างรวดเร็ว  ความหนาวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  จากที่หนาวเย็นมาก ๆ  ก็กลายเป็นความหนาวชื้นเข้ามาแทน  ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ  ถ้าเราเข้าใจตามความเป็นจริง  ไม่ว่าจะมีอากาศอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต....เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่านผู้อ่าน  ฉันก็จะขอเริ่มบทความเลยนะคะ

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่นครศรีธรรมราช  ที่ฉันนำมาเล่าสู่ท่านฟังในวันนี้  ฉันเองก็เพิ่งเคยไปชมและได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุเจดีย์  วัดนี้เป็นสถานที่เก่าแก่โบราณ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  เป็นสถานที่ที่สำคัญและเป็นมิ่งขวัญของเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งพุทธศานิกชนด้วย  ชาวเมืองนครเรียกวัดนี้ว่า "วัดพระธาตุ"  พระธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัด เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช  ในพระธาตุเจดีย์เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงนับว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้  ปัจจุบันได้รับการประกาศจดทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร  พระธาตุเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา  มีลักษณะที่เด่นคือยอดพระเจดีย์ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้  มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า  องค์พระธาตุเจดีย์หุ้มด้วยทองรูปพรรณและของมีค่ามากมายทั้งองค์นั้น  ได้มาจากความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีความแปลกเป็นพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือ มีเจดีย์องค์เล็ก ๆ เป็นบริวารองค์เล็ก ๆ  เรียงรายล้อมรอบองค์พระเจดีย์  รวมทั้งหมด 149 องค์  เป็นเจดีย์ที่เหล่าลูกหลานของบรรพบุรุษได้สร้างไว้สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ  เพื่อสำหรับบรรจุอัฐิของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว  และขออธิษฐานขอให้ญาติได้มาเกิดในพุทธศาสนาอีกในภาพหน้า  นอกจากนั้นยังมีความแปลกอีกอย่าง คือ  องค์พระธาตุเจดีย์นี้ไม่มีเงาทอดลงพื้น ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบด้านใดก็ตาม  นับเป็นความอัศจรรย์ซึ่งยังไม่มีผู้ใดให้เหตุผลได้

ที่วัดนี้มีพิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ  คือ การนำผ้าขึ้นธาตุ หรือถวายแก่องค์พระธาตุ  ตามตำนานความเชื่่อของคนสมัยก่อนว่า  หากผู้ใดได้นำผ้าขึ้นธาตุและเดินเวียนประทักษิณ (๓ รอบ) ณ ลานประทักษิณ ก็จะเป็นเสมือนดังการเข้าสู่นิพพานกลาย ๆ  ถ้าอธิษฐานจิตขอพร  ก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนได้อธิษฐานไว้  ทุก ๆ ปี ในวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชาจะมีงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ่งถือกันว่าเป็นงานบุญประจำปีของวัดนี้

ประวัตวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิด "วรมหาวิหาร"  เป็นพุทธาวาสประจำเมือง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา เป็นธุระของชาวเมือง เจ้าเมืองและคณะสงฆ์ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไปในภาคใต้ ได้ร่วมมือกันบำรุงรักษา  เป็นวัดนิกายเถรวาท มีองค์พระประธานชื่อ
พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช

เมื่อ พ.ศ. 854 เจ้าชายทนทกุมาร และพระนางเหมชาลา และบาคู (แปลว่า นักบวช) ชาวศรีลังกาได้สร้างวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช) พระเจดีย์องค์เดิม เป็นเจดีย์แบบศรีวิชัย คล้ายเจดีย์กิริเวเทระ ในเมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา.....พ.ศ.1093 พระเจ้าจันทรภาณุได้
สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับการก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นเจดีย์แบบศาญจิ.....พ.ศ.1770
พระเจ้าจันทรภาณุ ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์  เจดีย์แบบลังกา ทรงระฆังคว่ำหรือโคว่ำ มีปล้องไฉน 52
ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี 37 วา 2  ศอก  ยอดปลีของปล้องไฉน หุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา(เท่ากับ 2  เมตร)  1 ศอก (เท่ากับ 0.50 เมตร)  แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่ง  (เท่ากับ 960 กิโลกรัม) รอบพระมหาธาตุ  มีเจดีย์ 158 องค์.....ในปี พ.ศ. 2155 และ พ.ศ. 2159
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการซ่อมแผ่นทองที่ปลียอดพระบรมธาตุ.....ปี พ.ศ. 2190 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราทอง ยอดพระบรมธาตุได้ชำรุดหักลง และได้มีการบูรณะสร้างใหม่.....ปี พ.ศ. 2275- 2301 lสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีการดัดแปลงทางเข้าพระสถูปพระบรมธาตุบริเวณวิหารพระทรงม้า.....พ.ศ. 2312  สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ปฏสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตรต่ออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระธาตุ.....สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัด)  ได้บูรณะพระวิหารหลวง  วิหารทับเกษตร  พระบรมธาตุที่ชำรุด  ได้มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษตร  วิหารธรรมศาลา  วิหารพระทรงม้า  วิหารเขียน  ปิดทองพระพุทธรูป.....ในปี พ.ศ 2457  สมัยพระบทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยูหัว  ได้ติดตั้งสายล่อฟ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์......ปี พ.ศ. 2515 . 2517  บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และพระอุโบสถ.....พ.ศ. 2530 ซ่อมแซมกลีบบัวทองคำที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม  เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น  ในวันที่ 28 สิงหาคม 2530
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำขึ้นประดิษฐานบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์....พ.ศ. 2537 - 2538 บรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด  ใช้งบประมาณทั้งสิ้น
50 ล้านบาท  สิ้นทองคำ 141 บาท (มาตราชั่ง ตวง วัด ของไทย  1 บาท เท่ากับ 15.2  กรัม)......กรมศิลปากรได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53  ตอนที่ 34   วันที่ 27  กันยายน  พ.ศ. 2479