วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หลวงพ่อวัชระ เอกวัณโณ มาโปรด


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ฉันได้หยุดพักการเขียนบทความไปหลายวัน  เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับตา เป็นโรคแพ้เกษรดอกไม้  ตอนกลางวันก็ปรกติดี แต่พอค่ำมาก็จะมีอาการแสบตา จึงไม่สามารถที่จะนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้
วันนี้ไม่ค่อยแย่เท่าไร เพราะเมื่อวานได้รับการเสริมบารมีจากหลวงพ่อวัชระ แห่งวัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี

เมื่อวานนี้ที่สมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์ ได้มีโอกาสทำบุญถวายภัตตราหารเพลแด่หลวงพ่อวัชระ  ท่านมาโปรดญาติโยมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทุกปี  จนเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทยที่นี่ ท่านมีลูกศิษย์ที่เคารพและศรัทธาเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งในปีนี้ ได้มีการจัดพิธีไหว้ครูบาอาจารย์ขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก....ฉันได้รู้จักหลวงพ่อวัชระ และได้ทำบุญครั้งแรกกับท่านเมื่อปี ค.ศ. 2004 ได้นิมนต์ท่านมาโปรดสมาชิกของสมาคมไทย-กวนอิม มีญาติโยมมารับการสงเคราะห์จากท่านเป็นจำนวนมาก และท่านได้จำวัดที่สมาคม ๑ คืน ตอนค่ำได้มีการสนทนาธรรมะและเจริญสมาธิด้วย ท่านเป็นพระที่มีจริยาวัตรงดงามและสำรวมมาก มีเมตตาเสมอเท่ากันหมด เป็นกันเองกับญาติโยมไม่เลือกหน้า ใครมาขอให้ท่านสาวเทียนและปัดเป่ารักษาโรคกรรมให้ ถึงแม้ว่าท่านจะทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ท่านก็เมตตาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยเลย 

ตอนที่หลวงพ่อไปที่สมาคมเป็นครั้งแรก  ท่านได้สนทนากับพระแม่กวนอิมและยังได้สวดมนต์ถวายพระแม่กวนอิมด้วย  ทุกครั้งที่ท่านมาโปรดพวกเรา ท่านก็จะต้องได้รับนิมนต์ จากท่านแม่กวนอิมให้เข้าเฝ้าเพื่อสนทนาธรรมกัน แล้วท่านแม่กวนอิมก็จะสวดมนต์ให้พรแด่หลวงพ่อด้วย จนเป็นที่ทราบกันว่า ถ้าหลวงพ่อวัชระมาที่สมาคมเมื่อไร  ท่านแม่กวนอิมก็จะเสด็จมาโปรดพวกเราเป็นพิเศษอีกด้วย.....หลวงพ่อมีชื่อเสียงด้านสาวน้ำตาเทียน เพื่อเสริมดวงเสริมบารมี ปัดเป่ารักษาโรคกรรม และความสามารถอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนั้นท่านยังมีความรอบรู้เชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับพระธาตุและเหล็กไหลต่าง ๆ  เพราะที่วัดถ้ำแฝดมีเหล็กไหล พระธาตุและธาตุกายสิทธิ์เยอะมาก

ฉันมีเรื่องแปลกแต่จริงจะเล่าสู่กันอ่านค่ะ  เมื่อครั้งแรกที่จะได้ทำบุญกับหลวงพ่่อ  สองวันก่อนที่หลวงพ่อจะไปที่สมาคม  ได้มีพระธาตุจากเมืองบาดาลเสด็จมาครั้งแรกในตอนก่อนเที่ยงวัน  วางอยู่ที่โคนไม้ข้างบ้านด้านหน้าบ้านจำนวน ๔ องค์ ฉันก็ได้อัญเชิญเข้ามาไว้ในบ้าน บูชาไว้บนหิ้งพระ  ในวันเดียวกันนั่นเองพระธาตุได้เสด็จมาเพิ่มอีก ครั้งที่ ๒ เสด็จมา ๘ องค์  และครั้งที่ ๓ มาเพิ่มอีก ๑๒ องค์  พอวันรุ่งขึ้นตอนเวลาใกล้เที่ยงพระธาตุเสด็จมาอีก คราวนี้มาเยอะมาก เลยไม่ได้นับ ได้อัญเชิญใส่ไว้ในขวดแก้วที่สะอาด เมื่อหลวงพ่อมาถึงและได้ฉันภัตตราหารเรียบร้อยแล้ว พอได้โอกาสอันควร ฉันจึงได้นำพระธาตุมาให้ท่านช่วยตรวจดู ท่านก็บอกว่าใช่พระธาตุ ฉันก็ได้แบ่งถวายท่านเป็นคนแรก แล้วก็แบ่งแจกทุกคนที่ไปร่วมทำบุญในวันนั้น

หลังจากนั้นต่อมา ก็มีพระธาตุเสด็จมากเพิ่มเรื่อยๆ ฉันก็จะแบ่งให้คนไทยที่เขาไปเมืองไทย  นำไปถวายวัดต่าง ๆ ในเมืองไทย  แต่ปีนี้พระธาตุยังไม่มีเสด็จมาเลย พอฉันได้ข่าวว่าหลวงพ่อวัชระจะมาสวิตเซอร์แลนด์  ฉันก็นึกถึงพระธาตุว่า เคยเสด็จมาตอนก่อนที่หลวงพ่อจะมา และยังนึกต่อไปอีกว่า ถ้าก่อนหน้าหลวงพ่อมา และมีพระธาตุจากเมืองบาดาลเสด็จมาอีก ฉันจะทึ่งมาก ๆ เลย.....ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเพราะแค่คิดถึงก็เป็นจริงได้ มันเป็นแปลกแต่จริงด้วยน่ะ  หลังจากที่คิดเช่นนั้น วันรุ่งขึ้นฉันก็ได้พบพระธาตุเสด็จมาวางอยู่ที่ใต้ต้นไผ่ ที่หลังศาลาหลวงพ่อใหญ่ จำนวน ๑๓ องค์ และวันต่อมาก็เสด็จมาเพิ่มอีก ๒๔ องค์  ฉันก็ได้ถวายหลวงพ่อเพื่อไปไว้ที่วัดถ้ำแฝด เพื่่อให้ผู้อื่นได้ชมบารมีพระธาตุด้วย

วันนี้ก็มีภาพหลวงพ่อวัชระมาให้ชมกัน ขออนุญาตท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านยินดีให้ลงภาพท่านได้ ขอเชิญชมได้ค่ะ







                    สำหรับบทความวันนี้ก็จบเพียงแค่นี้จ๊ะ  ไว้พบกันอีกในบทความใหม่ต่อไป


                                                 .....................................




















วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ชมพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ,เชียงใหม่



สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หลังจากที่เราได้ไปนมัสการพระธาตุเจดีย์ที่วัดพระธาตุจอมทอง และที่วัดเจดีย์เจ็ดยอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว น้องเขยและน้องสาวฉันก็ได้พาไปชมพิพิธภัณ์ฑ์พระพิฆเนศ ที่นั่นมีองค์พระพิฆเนศสวย ๆ เยอะมาก และน่าสนใจเป็นพิเศษ เราก็ได้ไปชมและเก็บภาพถ่ายสวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่านด้วยค่ะ

บางท่านอาจจะยังไม่เคยรู้จักสถานที่แห่งนี้มาก่อน เมื่อได้ชมรูปภาพแล้ว ก็อาจเกิดความศรัทธาแรงกล้าสนใจอยากจะศึกษาเกี่ยวกับพระพิฆเนศเพิ่มเติม ให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ก็ไปชมของจริงที่พิพิธภัณฑ์ได้จ๊ะ....ฉันเองก็เพิ่งจะรู้จักพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เห็นแล้วประทับใจมาก สถานที่สวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อยดี  สะอาดสะอ้านดูงามตาไปหมดทุกแห่ง เจ้าหน้าที่ต้อนรับและให้คำอธิบาย ฝ่ายทำพิธีกรรมก็สุภาพและเป็นกันเองดีมาก

พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ ตั้งอยู่ที่ ถนนเชียงใหม่-ฮอด (อินทนนท์) หลัก กม.๓๕ ต.ยางคราม กิ่ง อ.ดอยหล่อ (เขตติดต่อ อ.สันป่าตอง) อ.เชียงใหม่ เขาเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ ๙.๐๐น.-๑๗.๐๐น. การเข้าชมที่นั่นไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู เพราะเจ้าของสถานที่แห่งนี้ มีความประสงค์ที่จะเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของ พระพิฆเนศมากกว่า ในพิพิธภัณฑ์มีพระพิฆเนศประมาณ ๑,๐๐๐ กว่าองค์ มีปางต่าง ๆ มากมาย มีปางรุ่นใหม่ทันสมัยด้วยนะ เช่น ปางทรงโน๊ตบุค น่ารักดี ท่านทันสมัยมากเลย  ใครอยากเห็นก็ต้องไปดูเอง ในตัวอาคารใหญ่ที่มีพระพิฆเนศมากมายให้ชมได้  แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายถาพ  เราก็ได้ถ่ายแต่ที่อยู่ข้างนอกเท่านั้น ขอเชิญชมภาพพระพิฆเนศจ๊ะ

เทวาลัยพระพิฆเนศ สร้างขึ้นด้วยความศรัทธาของผู้ก่อตั้ง
ในเทวาลัยได้จำลองคณปติโลก (โลกที่ประทับของพระพิฆเนศ)
เทวรูปพระศิวะมหาเทพ พระบิดาแห่งพระพิฆเนศ
พระพิฆเนศและครอบครัว มีพระชายาชื่อพุทธิและสิทธิ มีบุตร ๒ ท่าน ชื่อ ชุกกับลัฟ (โชค,ลาภ)
หนูมุสิกะบริวารเอกแห่งพระพิฆเนศ เมื่อขอพรพระพิฆเนศเสร็จแล้ว ให้นำคำขอพรไปกระซิบข้าง ๆ หูของหนู
 ชมภาพเกี่ยวกับพระพิฆเนศแล้วรู้อย่างไรบ้างค่ะ  ไปชมของจริงมีให้ชมเยอะมาก ๆ เดินทั้งวันก็ดูไม่ครบทุกปาง.....ไว้พบกันในบทความต่อไปนะคะ

                                                
                                               ...............................















วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตามล่าแม่จันทรา


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน.....วันนี้ต้องขอพักบันทึกการท่องเที่ยวและแสวงบุญไว้ก่อนนะคะ  อ่านเรื่องใหม่ที่แปลก ๆ แก้เช็งกันบ้าง ผู้เขียนยังไม่เซ็งหรอกค่ะ แต่เกรงว่าผู้อ่านจะพากันเซ็งซะก่อน ฉันอดไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องแปลก ๆ ไว้ในใจคนเดียว จึงคิดว่าน่าจะแบ่งปันให้ท่านผู้อ่าน ได้รู้ได้ดูกันด้วย ว่ามันแปลกแต่จริงอย่างที่ฉันคิดมั๊ย  ไม่แน่น่ะ...บางท่านอาจจะว่าไม่แปลกอะไร  เราก็ไม่ว่ากันจ๊ะ เพราะแต่ละคนต่างก็สะสมมาไม่เหมือนกัน


จะขอเริ่มเรื่องเลยนะคะ ขี้เกียจที่จะเกริ่นบทนำยาว ๆ  เรื่อง "ตามล่าแม่จันทรา" นี้เป็นเรื่องแปลกได้ยังไง  ท่านคงจะสงสัยซินะ  เมื่อเย็นวานนี้เองจ๊ะ ประมาณเวลาสามทุ่มครึ่ง ยังไม่ค่ำมืดเลยนะ อากาศดีมากเลยท้องฟ้าสว่างไม่มีเมฆหมอกรบกวน ท้องฟ้าสีสวยมากมีแม่จันทราลอยโดดเดี่ยวอยู่เดียวดาย ฉันเลยรีบรี่ไปคว้ากล้องคู่ใจมาอย่างเร็ว แล้วก็รีบบันทึกภาพอย่างรวดเร็วด้วย....การซูมภาพไกลมาก ๆ นี่ไม่ง่ายเลยนะ เพราะว่าไม่ใช่ภาพนิ่ง ท่านแม่จันทราก็เคลื่อนไปเรื่อย ๆ ฉันการตามถ่ายไปติด ๆ แบบไม่ยั้งเหมือนกัน แม้ว่าจะเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า แต่กล้องมันก็สั่นไม่หยุด เพราะว่าซูมสุดขีด ถึงยังไงก็ตาม ก็ยังโชคดีที่ได้ภาพมาฝากท่านผู้อ่านหลายภาพ  กว่าจะได้ภาพสวย ๆ  ต้องตามล่ากันจนเหนื่อยเมื่อยเลยล่ะ

เรื่องยังไม่จบแค่นี้จ๊ะ ประมาณตี ๑ ครึ่ง ฉันกำลังจะเข้านอนตามปรกติ  แต่ว่าคืนนี้ไม่ปรกติค่ะ ในห้องนอนสว่างมาก เพราะมีแสงจากแม่จันทราฉายเข้ามาเต็มห้อง เหมือนแสงไฟตะเกียงดวงใหญ่มากทีเดียว  ฉันก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ ถึงจะสว่างยังไงก็หลับได้ เพราะว่าดึกแล้วและก็ได้เป็นเวลาที่จะต้องหลับด้วย  ดังนั้นจึงได้สวดมนต์  เสร็จแล้วก็นอนหันหลังให้แม่จันทรา  พอเริ่มจะเคลิ้ม ๆ จิตกำลังจะเข้าภวังค์  ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงดังดังในห้องนอน ดังแช๊ก ๆ ๆ  สามครั้งติด ๆ กัน พร้อมกับมีแสงไฟเหมือนไฟแฟล็ชจากกล้องถ่ายรูป  ฉันคิดว่าลูกชายคงจะถ่ายรูปแม่จันทราอยู่ในห้องของเขา เพราะว่าห้องเราอยู่ติดกัน เขาคงถ่ายรูปแน่ ๆ เลย พอจะเริ่มหลับตาอีกครั้ง ก็ปรากฏมีแสงจากแฟล็ชและเสียงดังแช๊ต ๆ ติดต่อกันหลายครั้งอีก

คราวนี้ชักสงสัยแล้วล่ะ เป็นไปไม่ได้เลย ที่แฟล็ชจากที่อื่นจะเข้ามาในห้องฉันได้  ฉันคิดว่าไม่ธรรมดาแน่ ๆ  จึงได้พลิกตัวหันหน้าไปทางหน้าตา  แม่จันทราสว่างจ้าอยู่ตรงหน้าต่างพอดี ฉันคิดว่าแม่จันทราคงเรียกไปถ่ายรูปมั้ง ถึงได้มีเหตุการณ์เช่นนี้  ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้เราดูขนาดนี้ ยังโง่่นอนหลับทับสิทธิ์อยู่ได้ พอคิดได้เช่นนั้น จึงรีบลุกไปที่ห้องทำงาน แล้วก็คว้าเอากล้องมาโดยเร็ว  คราวนี้ไม่ต้องตามล่ากันให้เหนื่อยเหมือนเมื่อตอนหัวค่ำ  รู้สึกว่ายิ่งดึกยิ่งสวยมาก ท่านมีลีลาน่าชมยิ่ง  ฉันเองยังหลงใหลถ่ายภาพจนลืมง่วงไปเลย  พอได้ภาพเป็นที่พอใจแล้ว ก็ขอบคุณที่ท่านได้มาปลุกให้ไปชมความงามของท่าน เสร็จแล้วฉันก็กลับไปนอนหันหลังให้ท่านต่อ ตั้งใจว่าจะหลับซะที เพราะว่าดึกมากแล้ว สามียังแซวฉันว่า "ทำไมไม่ถ่ายต่ออีกล่ะ" ฉันบอก "พอแล้ว ฉันง่วงแย่แล้ว" พอหันหน้ามาตอบสามีเสร็จ สายตาเหลือบไปเห็นแม่จันทรายังไม่ลับจากหน้าต่างห้องนอนเลย  ขณะนั้นได้มีกลุ่มเมฆสีเทาค่อย ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้น ๆ และค่อย ๆ เคลื่อนเหมือนฉากกำลังจะปิดการแสดง แม่จันทราก็ค่อย ๆ หายตัวเข้าไปหลังฉากอยางช้า ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ลาลับไป.... จากท้องฟ้าที่เมื่อครู่นี้แสงสว่างจ้ามาก กลับกลายเป็นมืดไปในพริบตา นี่ก็เป็นธรรมะ เป็นของจริงให้เราเห็นว่า ธรรมทั้งหลายเป็น "อนัตตา" ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล บังคับบัญชาไม่ได้เลย


ได้ชมความงามของแม่จันทราแล้ว รู้สึกเป็นไงบ้างคะ คงไม่เป็นลมไปซะก่อนนะ.....สำหรับการตามล่าแม่จันทราก็ได้จบลงเพียงแค่นี้ก่อนจ๊ะ แล้วพบกันอีกจ๊ะ