วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่ 2556


                                  พรปีใหม่แด่.....ท่านผู้อ่านทุกท่าน

                                Happy   new   Year   2013   


                                   


                                             สุขสราญผ่องแผ้ว                        สดใส      

                                            ชีวิตเรืองโรจน์ไกล                       เกียรติก้อง        

                                            สมหวังดั่งตั้งใจ                            ปราโมทย์

                                            เอมอิ่มคำแซ่ซร้อง                        ส่งให้สุขเสมอ

                                                                   ...............................

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

งานวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2012

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ช่วงนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่ค่อยหนาวมากเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาวันนี้ท้องฟ้าสว่างสดใส  หลังจากที่มืดมัวมาหลายวันแล้ว  บางบ้านก็เริ่มเตรียมทำความสะอาดสวน หรือเตรียมทำสวนกัน  แต่ก็เอาแน่อะไรไม่ได้  อากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เราคิดซะอีก  แต่คนสวิสมักจะเห่อเช่นนี้เสมอ  พออากาสดีหน่อยก็จะรีบทำสวนกัน.....

วันนี้ฉันคิดว่าจะนำท่านผู้อ่านไปชมวัดอีกสักแห่งเป็นการปิดท้ายปีเก่าสำหรับบล็อกนี้  ปีใหม่ก็จะเล่าเรื่องใหม่ ๆ  สู่กันฟังอีกจ๊ะ  ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่ได้ติดตามอ่านบทความของฉันมาโดยตลอด  เมื่อต้นเดือนธันวานี้  ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญเนื่องในวัดลอยกระทงและวันเฉลิมพระชนมพรรษา  วันนั้นเป็นวันแรกของฤดูหนาวที่มีหิมะตกในตอนเช้าอย่างมากมาย  ปรกติเราจะออกไปเดินตามสวนสาธารณะหรือไม่ก็ไปเดินบนเขาใกล้ ๆ บ้าน  วันนั้นหิมะตกสูงมากแทบจะเอารถออกจากอู่ไม่ได้  ต้องกวาดหิมะกันเป็นงานใหญ่  ในเมื่อไม่รู้จะไปไหนดีก็เลยตกลงไปวัดดีกว่า ได้ไปทำบุญด้วย  พอไปถึงสถานที่งานก็ยังไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก  เพราะคนส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัดและการเดินทางไม่ค่อยจะสะดวกนัก   แต่พอตอนสาย ๆ สักหน่อยผู้คนก็เต็มไปหมด  วันนี้ก็มีรูปภาพสวย ๆ  มาฝากด้วยจ๊ะ


                                              วัดศรีนครินทรวราราม สวิตเซอร์แลนด์














                                                     ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
                                                        ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                             ..........................................














































วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชมวัดห้วยมงคลและกราบนมัสการหลวงปู่ทวด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

นี่่ก็ใกล้จะสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลืออีกเพียงแค่ ๔ วัน ก็จะเริ่มปีศักราชใหม่แล้วนะคะ  ท่านคิดจะไปทำบุญทำทานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่วัดไหนคะ  ถ้ายังไม่ทราบจะไปวัดไหนดี  วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำวัดที่น่าสนใจยิ่งวัดหนึ่ง คือ วัดห้วยมงคล ที่นั่นมีองค์เหมือนของหลวงทวดใหญ่ที่สุด ฉันได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่มาแล้ว ประทับใจมาก ๆ  เลย  องค์เหมือนของหลวงปู่ใหญ่โตมาก  มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่หลั่งไหลไปกราบนมัสการกันไม่ขาดสาย  ไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนิกชนเท่านั้น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก  พากันไปชมความวิจิตรและความยิ่งใหญ่ขององค์หลวงปู่ก็ไม่น้อยเลย  สถานที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่  ในบริเวณรอบ ๆ ได้จัดเป็นสวนหย่อมสวยงามมากสำหรับเป็นที่พักผ่อนแก่ผู้ไปชมหลวงปู่

วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานองค์เหมือนของหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก  เดิมชื่อว่า "วัดห้วยคด"  ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคด ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดห้วยมงคล" ซึ่งปัจจุบันได้ใช้เป็นชื่อหมู่บ้าน วัด โรงเรียนและโครงการต่างๆ  มากมาย

หลวงปู่ทวดหรือสมเด็จพะโคะ เป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่  คงจะมีส่วนน้อยที่ไม่เคยรู้จักหไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและกิตติคุณ หรือความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน  หลวงปู่ทวดมีอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มากมาย  คนส่วนใหญ่จะรู้จักหลวงปู่ ในนามว่า  "สมเด็จหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด" 

ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาวพุทธที่มีต่อหลวงปู่ทวด ทางฝ่ายภาครัฐและฝ่ายเอกชนจึงได้ร่วมกันสร้างองค์เหมือน "หลวงปู่ทวด" องค์มหึมาขึ้น ณ วัดห้วยมงคล เพื่อน้อมเกล้ากระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล  เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา  ครบ ๖ รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

องค์เหมือนของหลวงปู่ทวด เป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างด้วยเนื้อโลหะผสม งดงามอลังการมาก มีขนานหน้าตักกว้าง ๙.๙ เมตร สูง ๑๑.๕ เมตร บนฐานสูง ๓ ชั้น  ชั้นล่างกว้าง ๗๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร  นอกจากนี้พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนาภิไธยย่อ "ส.ก." ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงปู่ด้วย









                                                     ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
                                                       ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์

                                                          ...........................................














วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ท่านเคยไปเที่ยววัดถ้ำเสือ ที่ จ.กระบี่ กันหรือยังคะ ?  ถ้ายังไม่เคยไปหรือยังไม่เคยรู้จักเลย  วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำให้รู้จักกันหน่อย  เพราะเหตุว่าวัดนี้มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมาก ๆ  ฉันไปมาแล้วเมื่อเดือนมีนา ศกนี้  ได้ไปโดยบังเอิญ  เพราะว่าตั้งใจจะไปพักผ่อนที่กระบี่  บังเอิญนึกขึ้นได้ว่า ที่เมืองกระบี่มีวัดชื่อ "ถ้ำเสือ" หลวงพ่อจำเนียร เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น  ฉันได้มีโอกาสทำบุญถวายเพลกับท่านที่บ้าน (สมาคมไทย - กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) ที่สวิตเซอร์แลนด์  ครั้งนั้นท่านมีพระลูกศิษย์จากต่างประเทศติดตามไปด้วย ๓ รูป  ครั้งแรกที่ได้กราบท่าน ฉันรู้สึกทึ่งในวาระจิตของท่านมาก  ท่านได้ถามน้องสาวฉันว่า "โยมเหมือนในรูปไหม"  ท่านทราบว่าน้องสาวฉันกำลังคิดในใจว่า "หลวงพ่อจำเนียรองค์จริงหรือปล่าว"  แล้วท่านก็ถามขึ้นมาลอย ๆ  น้องสาวตกใจพร้อมกับตอบอย่างรวดเร็วว่า "เหมือนค่ะ "  ท่านเมตตาพวกเรามากทีเดียว  ได้มอบเหรียญวัตถุมงคลหลายชนิด ไว้ให้พวกเราบูชาและคุ้มครองป้องกันตัว  หลังจากนั้นก่อนที่ท่านจะกลับเมืองไทย ฉันได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงจำเนียรอีกครั้ง และได้มีเวลาสนทนาธรรมกับท่านเป็นชั่วโมง  ท่านได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และได้แนะนำเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับผู้อื่นซึ่งมีความรู้ต่างระดับ  ต่างความสามารถ ซึ่งหมายถึงงานของสมาคม  เมื่อฉันได้มีโอกาสไปถึงเมืองกระบี่ จึงนึกถึงหลวงพ่อ อยากจะไปกราบท่านและไปชมวัดด้วย  ท่านบอกว่าที่วัดมีพระแม่กวนอิมองค์ใหญ่มาก  ในที่สุดฉันก็ได้ไปวัดถ้ำเสือดังใจปรารถนา  แต่ว่าเราไปถึงตอนค่ำแล้ว  มัวแต่ไปหลงทางวนเวียนอยู่หลายรอบ หาป้ายเข้าวัดไม่เจอสักที  วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่วัด เราก็เลยได้แค่เดินชมวัดและถ่ายรูปภาพมาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ

วัดถ้ำเสือตั้งอยู่ในเขตพื้นที่  บ้านถ้ำเสือ ต.กระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่  พื้นที่บริเวณวัดประมาณ ๒๐๐ ไร่  เป็นพื้นที่ราบ หุบเขาและยอดเขา  ชื่อวัดถ้ำเสือนั้นมีข้อสันนิษฐานว่า ในอดีตที่บริเวณนี้มีเสืออาศัยอยู่  ภายในถ้ำยังมีร่องรอยอุ้งเท้าเสือปรากฏอยู่บนหิน  ส่วนความเป็นมาของวัดนี้ น่าจะมาจากพระธุดงค์ที่เดินทางจาริกผ่านมาสถานที่แห่งนี้ และได้อาศัยอยู่ตามถ้ำเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม  ต่อมาชาวบ้านเกิดความศรัทธาเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการก่อสร้างวัดขึ้นมาในเวลาต่อมา

วัดถ้ำเสือมีเป็นวัดที่ร่มรื่นและสงบ  แวดล้อมด้วยต้นไม้ให ญ่ มีเขาล้อมรอบอยู่ทุกด้าน มีสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน  เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญถึงสองสมัย คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายอย่าง  เช่น เครื่องมือหิน พระพิมพ์ดิบ สิ่งก่อสร้างที่สำคัญได้แก่  พระอุโบสถ  พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ หอประชุม  รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว พระพุทธรูปหยกขาว  องค์พระศรีอริยะเมตไตรย์  ที่วัดนี้มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยจำนวนมาก และมีลิงตัวเล็ก ๆ มากด้วย เพราะที่นั่นมีลักษณะเป็นสวนป่า จึงเป็นที่อยู่อาศัยของลิงป่า

                                                    ขอเชิญชมรูปภาพ วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่













                                                    ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์














































































                                                   


วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ทุกท่านสบายดีมั้ยคะ  นี่ก็ใกล้จะหมดปีมะโมง หรือ ปี  พ.ศ.2555  แล้ว  บางท่านก็อาจจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะไปทำบุญทำทานตักบาตรไหว้พระ เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว  บางท่านก็ยังไม่ทราบจะทำอะไรดี หรือจะไปที่ไหนดีในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  ถ้ายังไม่ทราบว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี  ฉันขอแนะนำสถานที่ที่น่าไปเที่ยวและไปทำบุญทำทานด้วย  ก็คือไปเที่ยวตามวัดต่าง ๆ  ได้ทั้งความเบิกบานใจ อิ่มใจ ได้ชมความสวยงามของพระพุทธรูปอันเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า  ได้ชมความงามของวัดและปูชนียสถานภายในวัด  แต่ละแห่งก็มีศิลปะและมีความวิจิตรพิสดารไม่เหมือนกัน  ล้วนแต่น่าชมทั้งนั้น  ตัวอย่าง เช่น ไปชมพระบรมธาตุไชยา  ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในวัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร  วันนี้ฉันก็จะขอแนะนำท่านไปรู้จักกับ "วัดพระธาตุไชยาราชวรวิหาร" จังหวัดสุราษฏร์ธานี  บางท่านก็คงจะยังไม่เคยไปทางภาคใต้  ก็ชมรูปภาพกันก่อนนะคะ  เมื่อโอกาสก็ไปชมของจริง

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก  ชนิดราชวรวิหาร  สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนรักษ์นรกิจ หมู่ 3 ตำบลเวียง อำเภอใชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี  พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุราษฏร์ธานี และเป็นหนึ่งในสามของโบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เคารพบูชาของภาคใต้ ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา  จ.สุราษฏร์ธานี, พระเจดีย์พระมหาธาตุวัดพระธาตุวรมหาวิหาร จ. นครศรีธรรมราช  และพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำคูหาภิมุข บริเวณวัดคูหาภิมุข จ.ยะลา

วัดพระบรมธาตุไชยา เป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดพระบรมธาตุไชยา  โรงเรียนสงฆ์ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไชยา

ประวัติวัดพระบรมธาตุไชยา

วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร  สร้างเมื่อ พุทธศตวรรษที่ 13-14  ในสมัยศรีวิชัย  มีโบสถ์หันไปทางทิศตะวันตก  เป็นโบราณสถาน  รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็ก 4 ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคต ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ขนาดต่าง ๆ โดยรอบทั้ง 4 ด้าน  เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้า  ภาพเจดีย์พระบรมธาตุเป็นสัญลักษณ์ในดวงตราประจำจังหวัดสุราษฏร์ธานี และเป็นสัญลักษณ์ในธงประจำกองลูกเสือจังหวัดสุราษฏร์ธานี  พระเจดีย์พระบรมธาตุมีความสูงจากฐานใต้ดินถึงยอด 24 เมตร  ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ยอดเจดีย์ที่เดิมหักลงมาถึงคอระฆัง  พระพุทธรูปทำด้วยศิลาสูง  104 เซ็นติเมตร  ปางสมาธิประทับอยู่บนฐานบัว มีอายุอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 11-12 แสดงถึงอิทธพลศิลปอินเดีย แบบราชวงศ์คุปตะ สกุลช่างสารนาถ  ในพุทธศตวรรษที่ 14 ได้สร้างพระโพธิสัต์อวโลกิเตศวร (พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี) สองกรสำริด  ประติมากรรมในชวา (ประเทศอินโดนีเซีย) ภาคกลาง จารึกหลักที่ 23 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสกุลวงศ์ ของกษัตริย์แห่งศรีวิชัย (ไชยา) และราชวงศ์ไศเลนทรในชวาภาคกลาง  ในพุทธศตวรรษที่ 15 ได้สร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสองกรศิลา  ศิลปะจามพุทธ  และในสมัยอยุธยาได้สร้างพระพุทธรูปศิลาทราย ศิลปะอยุธยา สกุลช่างไชยา










                                                       ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์





























วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชมพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช


สวัดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศหนาวมาก ๆ  เลย  มีหิมะตกทั่วประเทศ ปีนี้หิมะตกมากกว่าเมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมา  ที่บริเวณบ้านฉันหิมะท่วมสูงประมาณ ๓๐ ซ.ม.  ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างโดนหิมะปกคลุมขาวสว่างไปหมด ก็สวยไปอีกแบบ  แต่วันนี้อากาศเล่นตลก  ฝนตกหนักทั้งวันหลังจากที่มีหิมะตกทุกวันเป็นเวลา ๑ สัปดาห์เต็ม  หิมะเจอฝนก็ต้องแพ้ฝนอย่างแน่นอน  ต้องละลายสลายตัวอย่างรวดเร็ว  ความหนาวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  จากที่หนาวเย็นมาก ๆ  ก็กลายเป็นความหนาวชื้นเข้ามาแทน  ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติ  ถ้าเราเข้าใจตามความเป็นจริง  ไม่ว่าจะมีอากาศอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต....เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่านผู้อ่าน  ฉันก็จะขอเริ่มบทความเลยนะคะ

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ที่นครศรีธรรมราช  ที่ฉันนำมาเล่าสู่ท่านฟังในวันนี้  ฉันเองก็เพิ่งเคยไปชมและได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุเจดีย์  วัดนี้เป็นสถานที่เก่าแก่โบราณ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  เป็นสถานที่ที่สำคัญและเป็นมิ่งขวัญของเมืองนครศรีธรรมราช รวมทั้งพุทธศานิกชนด้วย  ชาวเมืองนครเรียกวัดนี้ว่า "วัดพระธาตุ"  พระธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัด เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช  ในพระธาตุเจดีย์เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงนับว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้  ปัจจุบันได้รับการประกาศจดทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร  พระธาตุเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา  มีลักษณะที่เด่นคือยอดพระเจดีย์ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้  มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า  องค์พระธาตุเจดีย์หุ้มด้วยทองรูปพรรณและของมีค่ามากมายทั้งองค์นั้น  ได้มาจากความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีความแปลกเป็นพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือ มีเจดีย์องค์เล็ก ๆ เป็นบริวารองค์เล็ก ๆ  เรียงรายล้อมรอบองค์พระเจดีย์  รวมทั้งหมด 149 องค์  เป็นเจดีย์ที่เหล่าลูกหลานของบรรพบุรุษได้สร้างไว้สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ  เพื่อสำหรับบรรจุอัฐิของญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว  และขออธิษฐานขอให้ญาติได้มาเกิดในพุทธศาสนาอีกในภาพหน้า  นอกจากนั้นยังมีความแปลกอีกอย่าง คือ  องค์พระธาตุเจดีย์นี้ไม่มีเงาทอดลงพื้น ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบด้านใดก็ตาม  นับเป็นความอัศจรรย์ซึ่งยังไม่มีผู้ใดให้เหตุผลได้

ที่วัดนี้มีพิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ  คือ การนำผ้าขึ้นธาตุ หรือถวายแก่องค์พระธาตุ  ตามตำนานความเชื่่อของคนสมัยก่อนว่า  หากผู้ใดได้นำผ้าขึ้นธาตุและเดินเวียนประทักษิณ (๓ รอบ) ณ ลานประทักษิณ ก็จะเป็นเสมือนดังการเข้าสู่นิพพานกลาย ๆ  ถ้าอธิษฐานจิตขอพร  ก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนได้อธิษฐานไว้  ทุก ๆ ปี ในวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชาจะมีงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ่งถือกันว่าเป็นงานบุญประจำปีของวัดนี้

ประวัตวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ ตั้งอยู่ ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิด "วรมหาวิหาร"  เป็นพุทธาวาสประจำเมือง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา เป็นธุระของชาวเมือง เจ้าเมืองและคณะสงฆ์ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไปในภาคใต้ ได้ร่วมมือกันบำรุงรักษา  เป็นวัดนิกายเถรวาท มีองค์พระประธานชื่อ
พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช

เมื่อ พ.ศ. 854 เจ้าชายทนทกุมาร และพระนางเหมชาลา และบาคู (แปลว่า นักบวช) ชาวศรีลังกาได้สร้างวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (เดิมชื่อ วัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช) พระเจดีย์องค์เดิม เป็นเจดีย์แบบศรีวิชัย คล้ายเจดีย์กิริเวเทระ ในเมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา.....พ.ศ.1093 พระเจ้าจันทรภาณุได้
สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับการก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่เป็นเจดีย์แบบศาญจิ.....พ.ศ.1770
พระเจ้าจันทรภาณุ ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์  เจดีย์แบบลังกา ทรงระฆังคว่ำหรือโคว่ำ มีปล้องไฉน 52
ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี 37 วา 2  ศอก  ยอดปลีของปล้องไฉน หุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา(เท่ากับ 2  เมตร)  1 ศอก (เท่ากับ 0.50 เมตร)  แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่ง  (เท่ากับ 960 กิโลกรัม) รอบพระมหาธาตุ  มีเจดีย์ 158 องค์.....ในปี พ.ศ. 2155 และ พ.ศ. 2159
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการซ่อมแผ่นทองที่ปลียอดพระบรมธาตุ.....ปี พ.ศ. 2190 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราทอง ยอดพระบรมธาตุได้ชำรุดหักลง และได้มีการบูรณะสร้างใหม่.....ปี พ.ศ. 2275- 2301 lสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีการดัดแปลงทางเข้าพระสถูปพระบรมธาตุบริเวณวิหารพระทรงม้า.....พ.ศ. 2312  สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ปฏสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตรต่ออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระธาตุ.....สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัด)  ได้บูรณะพระวิหารหลวง  วิหารทับเกษตร  พระบรมธาตุที่ชำรุด  ได้มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษตร  วิหารธรรมศาลา  วิหารพระทรงม้า  วิหารเขียน  ปิดทองพระพุทธรูป.....ในปี พ.ศ 2457  สมัยพระบทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยูหัว  ได้ติดตั้งสายล่อฟ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์......ปี พ.ศ. 2515 . 2517  บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และพระอุโบสถ.....พ.ศ. 2530 ซ่อมแซมกลีบบัวทองคำที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม  เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น  ในวันที่ 28 สิงหาคม 2530
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำขึ้นประดิษฐานบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์....พ.ศ. 2537 - 2538 บรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด  ใช้งบประมาณทั้งสิ้น
50 ล้านบาท  สิ้นทองคำ 141 บาท (มาตราชั่ง ตวง วัด ของไทย  1 บาท เท่ากับ 15.2  กรัม)......กรมศิลปากรได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53  ตอนที่ 34   วันที่ 27  กันยายน  พ.ศ. 2479

















 


วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศาลเจ้าแม่ทับทิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้พบกันอีกเช่นเคยนะคะ  แต่เรื่องราวที่ฉันจะนำมาเล่าสู่กันฟังคราวนี้ ไม่เช่นเคยหรอกนะ  เป็นเรื่องเกี่ยวกับ  "ศาลเจ้าแม่ทับทิม"  ซึ่งตั้งอยูที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นศาลที่เก่าแก่โบราณมากแห่งหนึ่ง  มีผู้ศรัทธาไปกราบไหว้ขอพรท่านแม่ทับทิมอย่างไม่ขาดสาย  ฉันเองก็เคยไปกับสามีมาแล้วถึง ๒ ครั้ง  เวลานั่งเรือชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทีไร ก็อดที่จะไปแวะกราบท่านแม่ทับทิมไม่ได้   ศาลท่านสงบและร่มเย็นดี  ฉันคิดว่าบางท่านก็อาจจะยังไม่เคยเห็นศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ หรือยังไม่เคยไป  วันนี้ก็ชมรูปกันไปก่อนนะคะ  แต่ก่อนที่จะชมรูปภาพ  ก็จะขอแนะนำประวัติย่อ ๆ ของเจ้าแม่ทับทิมด้วยจ๊ะ  เพื่อท่านผู้อ่านที่ศรัทธาเลื่อมใสท่านแม่ทับทิม จะได้ปฏิบัติบูชาท่านอย่างถูกต้อง

ประวัติเจ้าแม่ทับทิม หรือ มาจอโปํ หรือเจ้าแม่เทียนโหวโจวโกว  ซึ่งได้มีการบันทึกไว้มากมายหลายตำรา ทั้งที่เป็นการบันทึกของทางราชสำนักเป็นจดหมายเหตุ และการบันทึกของขุนนางเสนาบดีในพระราชสำนักของจีน  เอกสารที่ได้บันทึกไว้ล้วนเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าแม่ทับทิม มีนามเดิมว่า หลินโม่เหนียง  เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ เดือน ๓ ตามจันทรคติจีน พ.ศ.๑๕๐๓ ตรงกับปฐมราชวงศ์ซ่ง  สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซ่งไท่จู่ หรือ เจ้าควงอิ้น เป็นปีเจี้ยนหลงที่หนึ่ง  บิดามีนามว่า หลินเอวียนกง  มารดามีนามว่า เฉินซื่อ  บางตำนานว่า หวางซื่อ,,,,,,,สถานที่เกิดคือ เกาะเหมยโจว ซึ่งขึ้นกับเมืองจิงหัว หรือเมืองพูเถียนในปัจจุบันเป็นมณฑลฝูเจี้ยน หรือ ฮกเกี้ยน.......บรรพบุรุษที่สำคัญของหลินโม่เหนียงคือ หลินลู่กง (ลก) หรือ จินอานอํอง (หลิมฮู้ไท่ซือ หรือ หลินโหวไท่โส่ว  กำเนิดเมื่อ พ.ศ. ๘๑๗ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๘๙๙ ) คนสกุลหลินถือว่าท่านเป็นปฐมวงศ์แห่งสกุลหลินสายฮกเกี้ยนที่กระจายไปตามมณฑลใกล้เคียง  ตลอดจนขยายไปตามประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  .........หลินโม่เหนียง เป็นอีกท่านหนึ่งที่สืบสายสกุลหลินแห่งมณฑลฮกเกี้ยน เธอเป็นโหลนลำดับที่ ๗ ของเท่าน....สื่อจุงกุง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสี่ยวโจว ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.๑๑๕๑-๑๔๔๐) ท่านบิดาของทวดคือ ท่านอี้กง เป็นเจ้าเมืองเกาโจวจิว  และท่านทวดคือ ปอกิกกง เป็นแม่ทัพสมัยห้าราชวงศ์ แห่งราชวงศ์โจวครั้งหลัง  คือสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิซื่อจง และสมเด็จพระจักรพรรดิกงตี้ ทั้งสองพระองค์นี้ ความจริงสืบสายสกุลแซ่หลิน  แต่ท่านใช้แซ่ไฉ (ฉั่ว) ขณะครองบัลลังค์  ด้วยเหตุผลทางการเมือง ท่านปอกิกกงได้ลาออกจากราชการ  และอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่บริเวณชายทะเลเซียงเหลี่ยงกัง
 แห่งมณฑลฝูเจี้ยน.......บุตรชายคนหนึ่งของท่านปอกิกง คือ ฮูกง ซึ่งเป็นปู่ของหลินโม่เหนียง ได้เป็นข้าหลวงใหญ่แห่งมณฑลฝูเจี้ยน  ท่านเอวียนกงเคยรับราชการในสำนัก  ต่อมาได้อพยพไปอยู่เกาะเหมยโจว.....ท่านเอวียนกงและภรรยา มีบุตรทั้งหมดหกคน เป็นชาย ๕ คน คนสุดท้องเป็นหญิงคือ  ซามปัํว มารดาอยากได้ลูกผู้หญิงอีกสักคน จึงได้สวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม ขอให้ได้ลูกเป็นผู้หญิง  ในคืนวันนั้นมารดาได้ฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมได้เสด็จมาหา พร้อมกับมอบดอกไม้ให้ดอกหนึ่ง และให้รับประทาน หลังจากนั้นต่อมามารดาก็ตั้งครรภ์ เมื่อตอนคลอดได้มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ยิ่ง บริเวณห้องนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้ามากทั้งห้อง พร้อมด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้อบอวล  นอกจากนั้นชาวบ้านยังได้เห็นแสงสว่างเจิดจ้า จากท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย  และปรากฏว่าเป็นเด็กแข็งแรงมีสุขภาพสมบูรณ์และไม่ร้องไห้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากลืมตาดูโลกแล้ว  บิดามารดาจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า "โม่" แปลว่า "เงียบขรึม"

หลินโม่เหนียงเป็นเด็กที่ฉลาดมากและมีพลังจิตเป็นพิเศษ  เมื่อเธออายุได้ ๑๕ ปี  ได้รับถาดทองเหลืองจากอสุรกายซึ่งโผล่ขึ้นมาจากสระน้้ำที่เธอและเพื่อน ๆ  ได้ไปมองดูเสื้อผ้าของตนในน้ำแทนกระจก  เมื่อเพื่อนเห็นอสุรกายโผล่ขึ้นมา  ก็ตกใจกลัวจึงพากันหนีไป  ส่วนหลินโม่เหนียงไม่กลัวจึงรับเอาถาดมาด้วยความกล้าหาญ  จึงทำให้เธอมีพลังวิเศษมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนทำให้เธอมีความสามารถในการคาดการณ์ รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และมีความรู้เกี่ยวกับสภาพฟ้าอากาศของท้องถิ่นด้วยการศึกษาดาราศาสตร์  เธอจึงประกาศให้ชาวประมงและนักเดินเรือ  ได้รู้ก่อนที่พวกเขาจะออกทะเล  คนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง  ต่างก็ยอมรับในคำทำนายของเธอ  นอกจากนั้นเธอยังมีความสามารถในการรักษาความเจ็บไข้ของชาวบ้านได้ด้วย รอบรู้เรื่องสมุนไพร  จนกลายเป็นหมอประจำบ้านแห่งเกาะเหมยโจวตั้งแต่นั้นมา  น่าเสียดายที่หลินโม่เหนียงเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย  แต่ก็ไม่ทราบแน่นอนว่าเมื่ออายุเท่าไหร่  เพราะบางตำราว่าเสียชีวิตเมื่ออายุ ๑๘ ปี  บางตำราว่าเมื่อ ๒๘ ปี

สาเหตุของการถึงแก่กรรมของหลินโม่เหนียง
มีกล่าวกันไว้หลายสาเหตุ  เช่น  สาเหตุ ๑.  คือ การกินเจตลอดชีวิต ทำให้ขาดสารอาหาร จึงเจ็บป่วยถึงเสียชีวิต แต่สาเหตุนี้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย.....สาเหตุที่ ๒. คือ นางหลับไม่ตื่น ในวันนั้นได้มีปกฏิหาริย์พิเศษ ชาวบ้านได้เห็นเมฆหลากสีบนท้องฟ้า ซึ่งคนจีนเรียกว่า เซี้ยงฮุ้ง เป็นเมฆมงคลลอยมาจากภูเขาใกล้ ๆ  และได้ยินเสียงมโหรีแว่ว ๆ  อยู่เป็นเวลานานพอสมควร.....สาเหตุที่ ๓.  ก่อนการเสียชีวิตนางได้ฝันว่าบิดาและพี่ชายออกทะเลไปหาปลา แล้วประสบกับพายุใหญ่ นางได้พยายามจะออกไปช่วย  ขณะที่กำลังจะช่วยได้สำเร็จ  มารดาของนางได้มาปลูกให้ตื่นเสียก่อน  หลังจากนั้น ๒ วัน ฝันของนางก็ได้เป็นจริง บิดาและพี่ชายของนางออกทะเล  ประสบกับพายุหนักและคลื่นใหญ่ทำให้เรือล่มจมหายไป  เธอเสียใจมาก ที่ไม่สามารถช่วยบิดาและพี่ชาย ซึ่งเป็นบุคคลที่รักยิ่งได้  นางได้ตรอมใจตายในที่สุด

ชาวบ้านที่มีความรักใคร่และเคยได้รับความช่วยเหลือจากนางเสมอมา  ต่างก็พากันยกย่องให้เป็น "หม่าโจ้ว"  แปลว่า "เจ้าแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์"  จึงได้สร้างศาลเจ้าเพื่อกราบไหว้  ต่อมาได้มีคนท้องถิ่นอื่นสร้างศาลเจ้าให้เจ้าแม่ตาม ๆ กัน อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา  เพราะเหตุว่ามีความศรัทธาและนับถือเจ้าแม่มากขึ้น.....มีตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. ๑๕๐๓ - ๑๘๒๒ )   การค้าทางทะเลกับต่างประเทศของชาวจีนแถบมณฑลฮกเกี๋ยนเจริญมาก  เวลาที่เรือเกิดประสบภัย ชาวจีนนิยมสวดมนต์ถึงหม่าโจ้ว แล้วก็มักจะรอดภัยเสมอ.....ครั้งหนึ่งประมาณปี พ.ศ. ๑๖๖๕ ซ่งอุยฮ่องเต้ ได้ส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเกาหลี  ขณะเดินทางโดยเรือ ขบวนเรือของคณะทูตได้ประสบกับพายุกลางทะเล ขบวนเรือทั้งหมด ๘ ลำ ได้จมหายไป ๗ ลำ เหลือรอดเพียงลำเดียว ซึ่งเป็นลำที่ทูตลู่หยุนตี้โดยสารอยู่  ท่านทูตดีใจและตื้นตันใจมากที่รอดตายมาได้  ถึงกับรำพึงออกมาดัง ๆ ว่า  "เป็นเทพเจ้าองค์ใดหนอ ที่มาช่วยชีวิตไว้"  ลูกเรือคนหนึ่งเป็นชาวฮกเกี๋ยน ได้ตอบไปทันใดว่า "เป็นเจ้าแม่หม่าโจ้วมาช่วยเป็นแน่แท้"   เมื่อทูตลู่หยุนตี้กลับถึงจีน ได้กราบทูลเรื่องราวการผจญภัยแล้วรอดตายอย่างอัศจรรย์ให้ฮ่องเต้งฟัง  ฮ่องเต้ได้ประทับใจมากและโปรดให้อาลักษณ์เขียนป้ายคำว่า "ซุ่นจี้" แปลว่า ช่วยเหลือ สงเคราะห์  พระราชทานให้ไปติดไว้ที่หน้าศาลเจ้าแม่บนเกาะหมีจิว พร้อมพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านผู้หญิงซุ่นจี  จากนั้นมาความนับถือและความศรัทธาในเจ้าแม่ทับทิม ก็เข้าสู่ราชสำนักของฮ่องเต้  ความศรัทธาในเจ้าแม่ทับทิมเพิ่มพูนขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะที่มณฑลฮกเกี๋ยนซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน  ตลอดจนท้องถิ่นใกล้เคียงในแถบนั้น และแถบทุกจังหวัดและทุกอำเภอจะมีศาลเจ้าแม่ทับทิม  ทั่วแผ่นดินจีนในท้องถิ่นที่อยู่ติดกับทะเลหรือแม่น้ำ จะมีศาลเจ้าแม่ทับทิมมากมาย

การบูชาเจ้าแม่ทับทิม..... บูชาด้วยผลไม้สุก  ถ้าเป็นทับทิมจะดีมาก ๆ  บูชาด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ  แล้วกล่าวนามของเจ้าแม่ "โอม เจ้าแม่ทับทิม"  กล่าวด้วยความเคารพและด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ  เมื่อปรารถนาจะให้ท่านเมตตาช่วยเหลือในยามทุกข์กายทุกข์ใจ  ก็เล่าเรื่องความทุกข์นั้นให้ท่านฟัง  จากนั้นก็เจริญความสงบจิตสักครู่ถวายท่าน  ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงไรนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่ที่กรรมหนักหรือกรรมเบาที่ท่านได้กระทำไว้แล้ว

 ศาลเจ้าแม่ทับทิม

 ดอกไม้ในบริเวณหน้าศาลเหลืองอร่าม

สถานที่ประทับเจ้าแม่ทับทิม

สะพานทางสู่ศาลเจ้าแม่ทับทิม

ท่านใดต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าแม่ทับทิมมากกว่านี้  ก็ค้นคว้าเองเพิ่มเติบได้นะจ๊ะ......โอกาสหน้าพบกันอีกค่ะ


                                                      ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์