วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

อย่างนี้ก็มีด้วย


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานหน่อยนะคะ   พบกันคราวนี้ก็มีเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ มาเล่าสู้กันอ่านจ๊ะ  ตามชื่อเรื่องที่ตั้งไว้ว่า "อย่างนี้ก็มีด้วย"  คงจะสงสัยนะคะว่า มันเรื่องอะไรหนอ..... เรื่องจริงค่ะ  เพิ่งเกิดกับตัวผู้เขียนเอง  ไม่ทราบว่ามันเกิดได้ยังไง  ถ้าท่านได้อ่านจบแล้ว ลองช่วยคิดหน่อยนะคะ ว่าเรื่องเช่นนี้สมควรกระทำหรือไม่  เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น  ฉันก็จะขอเล่าเรื่องเลยนะคะ

เมื่อ ๒ วันผ่านมานี้  เวลาเช้าประมาณ ๙ นาฬิกา  เป๋นเวลาที่ฉันกำลังเจริญความสงบอยู่ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน  วันนั้นได้มีเหตุการณ์พิเศษหน่อยนะ  คืออยู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นรบกวน  ฉันก็ต้องรีบพรวดพราดออกจากสมาธิ เพื่อไปรับโทรศัพท์  มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งโทรมาถามว่า "ตื่นหรือยัง"  ฉันก็ตอบ  "ตื่นแล้ว"  เธอถามย้ำอีกว่า "ตื่นหรือยัง"  ฉันได้แต่นึกในใจว่า ทำไมเธอถามแบบนี้  ใครจะบ้านอนลืมตาอยู่ได้ตั้ง ๙ โมงแล้ว  เธอคงคิดว่าเราขี้เกียจหลังยาวมากซินะ  แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร จึงถามไปว่า  "พี่มีอะไรหรือคะ ถึงได้โทรมาแต่เช้า"   เธอตอบว่า "เมื่อวานนี้พี่ได้สั่งกระดูกหมูอ่อนสด ๆ  มาให้เธอไว้กิน  สั่งมาตั้งหลายกิโล  จะหิ้วมาให้ถึงบ้านก็หนักและไม่มีรถขับ  ที่สั่งให้หลายกิโลเพราะเห็นว่าอยู่กันหลายคน จะได้ประหยัด ไม่ต้องจ่ายตังค์หรอก  พี่รู้จักกับคนขายดี  เขาให้ฟรี  เธอรีบมาเอานะเดี๋ยวมันจะมีกลิ่น  เพราะไม่ได้ไว้ในตู้เย็น เธอเอาไปทอดสด ๆ นะ อร่อยดี"  ฟังเธอพูดแล้วรู้สึกแปลกใจและงง ๆ  เพราะอยู่ดี ๆ  ก็มีคนเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเรา  สั่งเนื้อหมูตั้งเยอะแยะไว้ให้เรากินทั้งครอบครัว  ซึ่งบุคคลนี้ไม่ได้สนิทสนมและติดต่อคุ้นเคยอะไรกันมากนัก  นานปีทีหนจะได้เจอกัน  วันนี้มาแปลก ๆ

 ตามปรกติเราก็จะไม่กินเนื้อสัตว์บ่อยนัก  ส่วนใหญ่จะกินผักและผลไม้  ถ้าจะซื้อเนื้อหมู เราก็ซื้อกินเองได้  ไม่ต้องมีใครมาซื้อให้หรือขอเศษหมูจากโรงงานมาให้  เรามีรายได้และฐานะพอเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อนผู้อื่น  แต่เธอผู้นี้ซิ ชอบทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนโดยไม่เลือกหน้า  มีชีวิตที่น่าสงสารกว่าใครในแถบนี้ (แถบที่ฉันอยู่)  อาภัพมาก ๆ  อยู่กับผู้ชายคนไหน ก็ถูกเขาเบียดเบียนทำให้เจ็บกายเจ็บใจมาตลอด  บางครั้งไม่มีที่อยู่อาศัย  ต้องไปขอความช่วยเหลือจากทางการ  บางครั้งตกงานไม่มีกิน ก็ต้องไปขออาหารจากทางการ  เป็นคนไม่มีการศึกษา  แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะสะสมสิ่งที่ดี ๆ  ขยันสะสมแต่ความโง่อยู่ได้  ทุกวันนี้เธอก็ยังไม่มีงานทำและอยู่คนเดียว

แต่วันนี้เธอนึกยังไงไม่ทราบ  ใจดีอย่างไม่น่าไว้ใจ  ฉันได้พยายามคิดที่จะปฏิเสธเธอ  ฉันได้บอกเธอว่า "พี่สั่งหมูมาเยอะ ๆ  ก็เอาแช่แข็งไว้กินเองนาน ๆ ก็ได้"  เธอตอบว่า "พี่ไม่มีตู้แข็ง  เธอเอาไปกินกันเถอะ หมูสด ๆ อร่อยดี เนื้อสวย ๆ ขาหมูสวย ๆ  อีกหลายก้อน ทำพะโล้กินได้  และยังมีตับหมูสด ๆ ด้วยนะ โอ้โฮ...พูดแล้วน้ำลายไหล แต่พี่ไม่มีที่เก็บ  พี่ซื้อกินได้  เธอเอาไปเถอะ"  ฉันเบื่อที่จะฟังเธอพรรณา
นาน ๆ  ก็เลยบอกตัดบทไปว่า  "เด๊๋ยวต้องถามสามีก่อนนะ ว่าจะพาไปไหม"  เธอกล่าวต่ออีกว่า "เออ....นี่เธอ...สนใจอยากมีรายได้พิเศษมั้ย  มีคนไทยเขาอยากกินปอเปี๊ยะ  เขาจะจ้างทำ ให้อันละ ๑ แฟรงค์ รายได้ดีนะ"   "ขี้เกียจทำ" ฉันตอบแบบห้วน ๆ  เธอหัวเราะ  "ฮา ฮา ขี้เกียจทำเหรอ ได้เงินง่าย ๆ ไม่เอาเหรอ"  "ไม่อยากทำ ไม่อยากได้  พี่ก็รับทำเองซิ"  เธอไม่โต้ตอบ  แต่ย้ำว่า  "มาเอาหมูไปกินนะ"

ฉันได้บอกสามีว่า มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่เรารู้จัก  (สามีฉันก็รู้จักเธอ)  พอเอ่ยชื่อถึงผู้หญิงคนนี้ทีไร  เขาจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไร  เพราะเธอมีชื่อเสียงทางด้านอิจฉาริษยา  ชอบพูดเรื่องไม่เป็นความจริง  ทำให้คนอื่นเสียหายและเข้าใจผิด  จึงไม่ค่อยมีใครอยากคบกับเธอ  สามีฉันปฏิเสธที่จะพาไปรับเนื้อหมู  แต่ฉันขอร้องเขาและบอกว่าได้รับปากกับเธอไว้แล้ว...... เป็นอันว่าเราตกลงไปรับเนื้อหมู  พอเข้าไปในบ้าน  เธอก็รีบเอาถุงที่บรรจุไว้เรียบร้อยแล้ว ยกมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ  แล้วบอกว่าให้ฉันเปิดดูก่อนที่จะเอาไป  แต่ฉันก็เชื่อใจเธอ  คงจะเป็นของดีจริงอย่างที่เธอพูด

พอถึงบ้าน ฉันก็รีบเปิดห่อดูว่ามีอะไรบ้าง  เปิดด้วยความดีใจและตื่นเต้น พอเปิดดูก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ  . เนื้อหมูที่ว่าสวย ๆ  เป็นกระดูกหมูอ่อน ซึ่งเธอย้ำนักหนา ว่าให้เอามาทอดกินสด ๆ อร่อยดีนั้นน่ะ  มันเป็นเศษหมูที่เขาแล่เอาเนื้อออกจนเกลี้ยงแล้ว  เหลือแต่กระดูกอ่อนเท่านั้น บ้างก็เป็นชิ้นกระดูกที่มีแต่พังผืดติดเป็นแผ่นซี่โครงยาว  เธอให้มาราว ๆ  ๔ กิโล  ส่วนขาหมูนั้น เธอบอกว่าทำพะโล้อร่อยดี ขาสวย ๆ ทั้งนั้น  ตอนที่ยังไม่เห็น  แค่ได้ยินเท่านั้น บุพเจตนามันเกิดซะแล้ว  คิดไปว่าจะเอาเนื้อหมูนี้แกงเขียวหวาน  และจะเอาขาหมูทำพะโล้ไปถวายพระ  เพราะว่าเธอได้เชิญพวกเราไปร่วมทำบุญ ๑๐๐ วัน ให้สามีเธอที่เพิ่งเสียชีวิต ....... พอเห็นขาหมูแล้ว ตกใจกลัว เพราะเป็นขาหน้าแข้งยาวเป็นคืบ มีแต่ขน  ไม่สามารถจะทำอะไรกินได้เลย   ส่วนตับที่ว่าสด ๆ นั้น ก็สดจริง ๆ  สดประเภทเลือดอาบชุ่มเลยล่ะ  เกิดมาก็ไม่เคยเห็นตับหมูสด ๆ  และใหญโตมาก ๆ  เช่นนี้   ฉันเองยกไม่ขึ้นหรอก เพราะหนักมาก  เขาให้มาตั้ง ๒ คู่  ได้พิจารณาทุกอย่างแล้ว ไม่สามารถที่จะรับประทานส่วนไหนได้เลย  ในที่สุดก็ต้องรีบห่อใส่ถุง  แล้วทิ้งลงถุงขยะอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นประมาณสักครู่ใหญ่ ๆ   ฉันก็ได้มาทบทวนดูอีกครั้ง ว่าของที่คนเขาให้ทานมาด้วยความตั้งใจดี  เราจะเอาไปทิ้งเลย มันก็ไม่ถูกต้องนัก  ว่าแล้วก็รีบไปหอบเอาถุงขยะ ที่เตรียมทิ้งอยู่นอกบ้าน  นำมาค้นเอาเฉพาะแต่ขาหมู  เอามาพิจารณาดูอีกครั้ง เผื่อว่าจะมีโอกาสได้ลิ้มรสพะโล้ขาหมูเอร็ดอร่อยบ้าง  จึงได้สรรหามีดที่คมที่สุด ชนิดว่าใหม่เอี่ยมยังไม่ถูกใช้เลยนะ   แล้วจากนั้นก็จัดการหาเนื้อเถือหนังเป็นการใหญ่  เถือจนอ่อนใจก็ไม่เจอเนื้อ เจอแต่กระดูกเพียว ๆ  แต่ใช่ว่าจะหยุดความเพียรเพียงแค่นั้นน่ะ  จิตยังคิดต่อไปอีกว่า จะทำอย่างไรดี  เพื่อให้ของทานชิ้นนี้มีเป็นประโยชน์  จึงคิดว่าจะเอาหนังหมูไปทำส่วนประกอบลาบ  ก็หันมาพิจารณาหนังหมู..... ปรากกฏว่าหนังหมูก็เต็มไปด้วยขนแข็งและไขมัน  หาประโยชน์มิได้เลย  ในที่สุดต้องลงถุงขญะอีกครั้ง......ผลจากการที่ได้รับทานครั้งนี้  ฉันต้องหลังเคล็ดเพราะยกถุงขยะหนัก ๆ ถึงสองครั้ง แค่ครั้งเดียวก็เล่นเอาแย่แล้ว  นี่ก็เข้าตำราที่ว่า  "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมเอากระดูกมาแขวนคอ"

คนอย่างนี้ก็มีด้วย  อยู่ ๆ คิดเมตตาคนอื่น ไปขอเศษเนื้อจากโรงงานมาให้คนอื่นกิน  แถมยังบอกอีกว่า
"ถ้าพี่จะกินเนื้อหมู พี่ก็ซื้อกินเองได้"  ดูซิ...เธอพูดยังกะว่า  คนอื่นไม่มีเงินพอที่จะซื้อกินเองได้  แต่ฉันก็คิดในแง่ดีว่า  เธอคงคิดจะตอบแทนน้ำใจ ที่ฉันและสามีได้ไปร่วมงานเผาศพสามีของเธอที่เสียชีวิตไปเมื่อเร็ว ๆ นี้  และเธอยังเชิญพวกเราไปร่วมทำบุญ ๑๐๐ วันอีก  เฮ้อ....งานบุญครั้งนี้ ฉันคิดว่าคงจะต้องหลบเอาตัวรอดก่อนล่ะ  เพราะเหตุว่ากลัวจะโดนเธอถามเรื่องหมูและกลัวมาก ๆ  กลัวว่าจะได้หมูมาทิ้งอีก และอีกอย่างหนึ่ง  จริง ๆ แล้วฉันเองเป็นคนไม่ชอบปฏิเสธเรื่องบุญทาน  แต่คราวนี้มันจำเป็นจริง ๆ  ต้องขอหลบบุญ  เพราะว่าเธอได้บอกไว้แล้วว่า  ถ้าพวกฉันไปทำบุญ ก็จะได้เนื้อหมูอีกครั้ง  โอย....ไม่ไหวแล้ว  ขออย่าเจออีกเลยเจ้าข้า !!

การให้ทานที่จะมีอานิสงส์นั้น  จะต้องประกอบด้วยความตั้งใจดี (กุศลเจตนา)  ของที่ให้ต้องเป็นของที่ดี
เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ  ใช่ว่าสักแต่ให้ไปพ้น ๆ ตัวหรือพ้น ๆ บ้าน  ขณะที่ให้ทานจิตเป็นกุศล  หลังจากให้ทานแล้ว  เมื่อนึกถึงทานที่ได้กระทำแล้วเกิดปีติ..... กุศลย่อมมีผลเป็นกุศล นำมาซึ่งความสุขใจ   อกุศลมีผลเป็นอกุศลนำมาซึ่งความทุกข์ใจ  แล้วจะเลือกกระทำอย่างไหนดี  ก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคน....อย่าลืมนะคะ  ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ.....ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงและพิสูจน์ได้ทุกขณะ

.เรื่องนี้อ่านแล้วได้ข้อคิดมั้ยคะ  นี่ก็เป็นเรื่องอกุศลวิบากของฉันเองด้วย  เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้วิบากเกิดก็ต้องเกิด  เช้าวันนั้นมีอกุศลวิบากหมดเลย  เช่น วิบากทางตา  ทางหู  ทางกาย  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป.....แต่สำหรับเธอผู้ให้ทานนั้น  ถ้ากระทำด้วยอกุศลเจตนา  และถ้าเป็นอกุศลกรรมบถครบองค์  ก็ย่อมจะเป็นกรรมที่ส่งผลได้

 เพราะฉะนั้น ทางที่ดีคือ ก่อนที่จะมีการทำทาน  ต้องมีเจตนาดี  แล้วก็ควรที่จะพิจารณาวัตถุที่จะให้ทานด้วยว่า มีประโยชน์ต่อผู้รับหรือไม่ สมควรแก่ผู้รับหรือไม่  ให้เพื่ออะไร ทำไมต้องให้  ใช่ว่านึกอยากจะได้อานิสงส์จากทานมาก ๆ  เพราะรู้ว่าอานิสงส์จากทาน จะทำให้เป็นผู้มีกินไม่อด มีความเป็นอยู่ดี  จะได้ผลดีหรือไม่ก็อยู่ที่การทำเหตุ....... เหตุกับผลต้องตรงกัน  ธรรมะเป็นเรื่องตรง  เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดี ๆ ก่อน  จะได้มีอานิสงส์ที่ดีด้วย......สำหรับเรื่องนี้  ฉันก็ต้องขอขอบคุณเธอผู้มีเมตตาจิต ให้เนื้อหมูเป็นทานแก่ฉันและครอบครัวด้วย  ถึงแม้จะไม่ได้กิน  แต่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว  เพราะว่าทำให้ฉันได้มีเรื่องราวมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันสนุก ๆ  และได้คติข้อคิดเกี่ยวกับการให้ทานด้วย.....ก็ขอยุติเพียงแค่นี่จ๊ะ  แล้วพบกันอีกนะคะ

                                                       .......................................................



วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ชมวัดพระบรมธาตุ อ.บ้านตาก จ.ตาก

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หลังจากเงียบไปซะนาน  พบกันคราวนี้ก็จะขอนำท่านผู้อ่านไปชมวัดพระบรมธาตุกัน  วัดนี้นาสนใจและ  เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดตาก  มีพระเจดีย์สวยมากเลย  ซึ่งจำลองมาจากพระเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า

พระธาตุเจดีย์วัดพระบรมธาตุ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีมะเมีย  วัดพระบรมธาตุตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะตะเภา อ.บ้านตาก จ.ตาก  ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง เดิมวัดนี้เป็นเมืองตากเก่า ก่อนที่จะมีการย้ายตัวเมืองไปอยู่ที่ ต.ระแหง ซึ่งเป็นตัวเมืองตากในปัจจุบันนี้  ห่างไปทางทิศใต้ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร  มีประวัติของจังหวัดตากตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ล่องเรือเสด็จไปเมืองลำพูน  ได้หยุดพักบริเวณแห่งนี้  พบว่าเป็นเมืองร้าง จึงได้สั่งให้มีการฟื้นฟูบูรณะเมืองแห่งนี้  จนกลายเป็นเมืองตากมาจนปัจจุบันนี้

เจดีย์ของวัดพระบรมธาตุมีลักษณะทรงสี่เหลี่ยม  พระครูพิทักษ์บรมธาตุ (ทองอยู่) ได้ทำการบูรณะใหม่โดยการสร้างครอบองค์เดิมไว้ สูงประมาณ ๒๐ เมตร  มีลักษณะทรงแปดเหลี่ยม ศิลปล้านนา ภายนอกหุ้มด้วยทองเหลืองผสมทองแดง มีเจดีย์องค์เล็ก ๑๖ องค์  ซุ้มสำหรับบรรจุพระพุทธรูป ๑๒ องค์ วัดนี้ได้รับการปฎิสังขรณ์มาหลายครั้งแล้ว  ตัวพระอุโบสถมีประตูเป็นไม้แกะสลักที่สวยงามมาก มีหน้าบันและจั่วเป็นไม้ หน้าต่างแกะสลักเป็นพุทธประวัติปิดทอง หัวบันไดเป็นนาคและมีพระวิหารเก่าแก่  มีเพดานสูง ๒ ชั้น  มีช่องลมอยู่โดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทเย็นสบาย  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๓๒ นิ้ว และลงลักปิดทองคำเปลว  ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ๑ วัน กับ ๑ คืน เป็นเสร็จพิธีเรียบร้อย  ด้วยเหตุที่ได้ทำเสร็จอย่างรวดเร็วทันใจ  คณะผู้ศรัทธาจึงได้ตั้งชื่อว่า "หลวงพ่อทันใจ" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เคารพสักการะบูชาของประชาชนผู้ศรัทธา ทั้งในจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก  ญาติโยมที่มาตั้งจิตอธิษฐานขออะไรก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ  นับเวลาจนถึงปัจจุบันนี้ร่วม ๒๐๐ กว่าปี

เมื่อวันที่ ๑๕ มีนา ศกนี้  กลุ่มของเราก็ได้มีโอกาสแวะชมและนมัสการพระธาตุเจดีย์ชเวดากองของวัดนี้เป็นครั้งแรก  ได้สวดมนต์และเวียนเทียนถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา  นอกจากนั้นยังได้นมัสการหลวงพ่อทันใจด้วย......ก็มีรูปภาพมาฝากท่านผู้อ่านด้วยค่ะ


หลวงพ่อทันใจประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ


องค์พระเจดีย์เป็นลักษณะ ๘ เหลี่ยม



อีกมุมหนึ่งของพระเจดีย์  สวยงามน่าชมทุกมุมจ๊ะ




บทสวดนมัสการหลวงพ่อทันใจ  "ตะกุตะกะ จายาริโย เอวัง วันตา อะหัง วันทามิ สัพพะทา"

                                                           ..............................................