สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
วันนี้ก็พบกันอีกเกี่ยวกับเรื่องวัด แต่ว่าไม่ใช่ในเมืองไทย เป็นวัดไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วัดนี้อยู่บนภูเขาสูงมากเลย มีสิ่งแวดล้อมสวยงามน่าดูไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไปลำบากหน่อย.....เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค. ที่ผ่านมานี้ ฉันพร้อมด้วยสามีและลูกชายได้มีโอกาสไปทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัดธรรมปาละ,Kandersteg....คานเดอร์สเต็กเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่สวยงามน่าเที่ยว เป็นสถานที่ ๆ คนส่วนมากชอบไปเดินออกกำลังกาย หรือไปไต่เขากัน สำหรับฉัน...เรื่องเสี่ยงตายอย่างเช่นไต่เขานี้ ไม่ขอร่วมกิจกรรมด้วย เพราะว่าไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเลย สู้ไปทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรมจะได้ประโยชน์กว่า....วันนี้ก็มีเรื่องตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ
วัดธรรมปาละ เป็นวัดไทยวัดหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นวัดป่า ที่เรียกว่า "วัดป่า" เพราะว่าวัดนี้เป็นวัดหนึ่งในสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี มีหลวงพ่อชา (พระโพธิญาณเถร) เป็นครูบาอาจารย์ที่พระทุกรูปเคารพนับถือมาก แต่เป็นวัดที่มีพระเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น คือเป็นพระฝรั่งหมดเลย มีแค่ ๓ รูป เจ้าอาวาสพูดไทยได้นิดหน่อย ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะคนไทยไม่ค่อยไปที่วัดนี้ เนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก วัดนี้มีกฏระเบียบเข้มงวดมาก นับตั้งแต่การติดต่อกับทางวัด กำหนดวันและเวลาสำหรับโทรติดต่อได้ตั้งแต่วันพุธ-ศุกร์ เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ไม่เหมือนวัดไทยอื่น ๆ จะโทรตอนไหนก็มีคนรับสายบริการญาติโยมเสมอ....
เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ฉันได้โทรติดต่อทางวัด แจ้งความประสงค์ว่า เราจะไปถวายเพลพระสงฆ์ ก็มีแหม่มคนหนึ่งทำหน้าที่รับสาย พูดภาษาเยอรมัน เธอก็สอบถามว่า "คุณเคยไปที่วัดนี้บ้างหรือยัง" ฉันตอบว่่่่่า "เคยไปครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๘ ปีมาแล้ว" แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า "ต้องการจะมาทำอะไร ฉันก็บอกว่าจะมาทำบุญถวายอาหารพระ และลูกชายอยากจะสนทนาธรรมกับพระ เขาสนใจศึกษาธรรมะ เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมาบวช เพื่อศึกษาธรรมที่วัดนี้บ้าง" คุณแหม่ก็เข้าใจที่ฉันพูด แล้วก็บอกว่า ตอนนี้พระไม่อยู่ ยังตอบไม่ได้ว่าจะให้พวกเรามาทำบุญได้วันไหน.....จะว่าไป เธอก็บริการดีน่ะ เธอบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะโทรบอกฉัน ให้ทราบว่าจะไปทำบุญได้ในวันไหน
วันรุ่งขึ้นราว ๆ ๘ โมงเช้า คุณแหม่มรีบโทรแจ้งข่าวให้ฉันทราบว่า ในวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค.นี้ พระเจ้าอาวาสอยู่วัด ให้พวกเราไปทำบุญได้ ฉันถามเธอเพื่อความแน่ใจก่อน ที่วัดมีพระกี่รูป มีคนอยู่ที่วัดกี่คน จะได้เตรียมอาหารไปเผื่อด้วย เธอตอบว่ามี ๑๐ คน เป็นพวกแขกที่มาปฏิบัติธรรม ฉันเลยบอกเธอว่า ถ้าคนมากเป็นสิบ ๆ คน ฉันก็คงหอบไม่ไหวหรอก เพราะอยู่ไกล ต้องนั่งรถไฟไปแต่เช้า ก็ตกลงว่าเราทำเฉพาะพระและเผื่อคนอื่นด้วยนิดหน่อยพอสมควร....พระที่วัดนี้ท่านฉันแต่อาหารมังสะวิรัติเท่านั้น
ในเช้าวันที่ ๒๓ ก.ค. ฉันและน้องสาวได้ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เพื่อทำอาหารคาวและของหวานด้วย ที่ต้องตื่นแต่เช้า เพราะว่าตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปทำบุญที่วัดป่า นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน ก่อนนอนไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก แต่บอกปู่เทวดาไว้ "ปู่..ช่วยปลุกลูกด้วยน่ะ พรุ่งนี้ตอนตี ๔ ลูกจะตื่นทำกับข้าว" พอถึงตี ๔ ได้ยินเสียงดัง "ปั้ง" ที่ประตูห้องนอน.....ฉันตกใจตื่นทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นปู่เทวดามาปลุกแน่ ๆ เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างเตียง ก็เป็นเวลาตี ๔ จริง ๆ ด้วย มองออกนอกหน้าต่างก็ยังมืดอยู่ งั้นขอหลับสักนิด ฉันพูดในใจกับปู่ "ได้ยินเสียงปลุกแล้วจ๊ะปู่ แต่ลูกขอนอนต่อสัก ๑๕ นาทีนะ เพราะยังง่วงอยู่" รู้สึกว่าปู่ไม่ยอมเด็ดขาด อยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียวหลังมาก ฉันเลยต้องรีบลุกทันที อาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเช่นกัน....เทวดาท่านไม่ชอบคนขี้เกียจ เราก็รู้อยู่ แต่ก็ลองใจท่านดูก่อน เผื่อว่าท่านจะมีการอนุโลมบ้าง แต่ท่านไม่พูดอะไรเลย เล่นทำโทษกันเฉย
การไปทำบุญครั้งนี้ เป็นการทดสอบความอดทนด้วยนะ เดินทางไกลและอากาศร้อนมาก เราเดินทางโดยรถไฟตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ต้องเดินเท้าอีกประมาณ ๑๕ นาที แต่ว่าตอนขาไปเราตกรถไฟตอนที่จะเปลี่ยนขบวน ดูซิ...คนบ้านนอกไปบ้านนอกก็ยังหลงได้แถมยังตกรถไฟอีกต่างหาก ตลกดีจัง....เพราะมัวแต่ไปแวะห้องสุขากัน ก็เห็นว่ามีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลยแวะดื่มกาแฟและกินอะไรลองท้องสักหน่อย เสร็จแล้วก็ไปยืนรอรถไฟ มีขบวนหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าเรา แต่ก็ไม่เอะใจ รถขบวนใหม่มาถึง เรารีบขึ้นทันที นั่งไปได้สักครู่เกิดเอะใจ ขึ้นผิดขบวน เพราะฟังจากที่เขาประกาศ ไม่เห็นมีชื่อ Kandersteg เลยต้องรีบเผ่นลงรถกันแทบไม่ทัน แต่โชคเข้าข้าง รถยังไม่รีบไป.....เราเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่า รถขบวนที่จอดอยู่ข้างหน้าเราตอนแรกนั่นแหละถูกต้อง แต่เราไม่เรียบร้อยกันเอง ไม่ได้เช็คเวลารถอีกครั้ง และถ้าจะรอขึ้นขบวนใหม่ ก็ต้องรออีก ๑ ชั่วโมง เพราะรถไฟที่นั่นจะแล่นทุก ๆ ชั่วโมง
พระที่วัดธรรมปาละฉันเพลเวลา ๑๑.๓๐ น. ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑ โมงแล้ว ถ้ารอรถไฟก็คงไม่ทันการณ์แน่เลย จึงยอมเสียเงินค่าแท็กซี่ ก็นั่งนานประมาณ ๔๕ นาที เพราะมัวไปหลงอีกรอบหนึ่ง ไปถึงเขตวัดแล้ว แต่หาทางเข้าวัดไม่ถูก จึงทำให้เสียเวลา แต่ก็ยังทันเวลาเพล.....พอไปถึงวัด รู้สึกเงียบสงบจริง ๆ ประตูวัดเปิดไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เรายืนอยู่หน้าประตูวัดสักครู่หนึ่ง คิดว่าจะมีคนออกมาต้อนรับ ที่ไหนได้ยืนไปเถอะ ไม่ได้ถวายเพลแน่ ๆ ไม่มีทางเลือกเลย เราต้องยอมเสียมารยาทเข้าไปในห้องพระ โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย เข้าไปกราบพระ แล้วพากันเที่ยวเดินตามห้องต่าง ๆ เพื่อหาใครสักคน ร้อง "ฮัลโหล ๆ " ก็ไม่มีใครออกมาต้อนรับ ฉันก็เลยบุกถึงในครัว..... ปรากฏว่าคนที่อยู่ในครัวตกใจ อยู่่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าโผล่มา ฉันบอกว่า " แันได้โทรนัดกับคุณไว้ว่า วันนี้จะนำอาหารมาถวายพระ" แหม่มแม่ครัวทำท่างง ๆ ฉันก็เลยแนะนำตัว "ฉันชื่อนาง......ได้ตกลงทางโทรศัพท์กับคุณ.....ว่าจะมาทำบุญ" พอเธอได้ยินเช่นนั้น แล้วฉันว่า "ฉันลืมไป" ดูซิ...อย่างนี้ก็มีด้วย แถมไม่มีการขอโทษกันด้วย แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้เขาขอโทษหรอกนะ แต่ว่าตามมารยาทก็ควรจะเป็นเช่นนั้นน่ะ ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเราได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองกับพระเจ้าอาวาส
ท่านเจ้าอาวาสชื่อ "เขมะสิริ" ท่านบอกว่า ท่านก็ทราบว่าพวกเราจะมาทำบุญ แต่ไม่ทราบว่าจะถวายเพล
ท่านได้เชิญให้พวกเรารับประทานอาหารที่วัด และบอกว่า "เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ค่อยสนทนากันเป็นส่วนตัว" ระหว่างที่พระท่านฉันอาหาร เราก็ออกไปชมวัด และเก็บภาพสวย ๆ ไว้มาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ.....หลังจากที่พระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รับประทานอาหารต่อ พระท่านฉันในบาตร
เขาจัดอาหารแบบบุฟเฟ่ ใครจะรับประทานอะไรก็ตักเอาเองตามสบาย แม่ครัวแหม่มกับพ่อขาวช่วยกันทำอาหารฝรั่ง ส่วนอาหารของเราก็เป็นแบบไทย ๆ ท่านก็ฉันพอสมควร
พระเจ้าอาวาสเห็นว่าพวกเรารับประทานอาหารเสร็จแล้ว ท่านก็ออกไปจัดที่นั่งของท่าน ที่หน้าอาคาร แล้วก็เข้ามาเรียกพวกเรา ให้ออกไปนั่งคุยกันข้างนอก บรรยากาศที่นั้นดีมาก แดดจ้าแต่ไม่ร้อน มีลมพัดมาอ่อน ๆ ปะทะกายตลอดเวลา การสนทนาวันนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่นใจ และประทับใจในความเมตตา ที่ท่านสละเวลาพักผ่อนของท่าน มาสนทนากับพวกเรา มีความรู้สึก
เหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมานานแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งจะเห็นท่านเป็นครั้งแรก คงจะเคยทำบุญกับท่านมาแต่ชาติปางก่อนแล้วมั้ง...... ส่วนลูกชายก็ได้สนทนาธรรมเป็นส่วนตัวกับท่านด้วย โดยท่านเปิดโอกาสให้พูดก่อนใคร ส่วนพ่อแม่ให้พูดทีหลัง ตอนหลังก็คุยกันสารพัดเรื่อง ก็เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ ท่านได้เมตตามอบหนังสือธรรมะ และซีดีธรรมของพระอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายท่าน ให้ลูกชายมาศึกษาเผื่อสนใจจะไปฝึกเจริญสมาธิ ท่านบอกว่าจะไปเมื่อไรก็ได้ ท่านยินดีต้อนรับ.....เราได้สนทนากันประมาณร่วม ๒ ชั่วโมง ก็พอสมควรแก่เวลา จึงได้ถวายปัจจัยถวายวัด แต่ท่านไม่รับปัจจัยเป็นส่วนตัว ท่านบอกว่า "พระไม่รับปัจจัย" จึงบอกให้เรานำไปใส่ตู้บริจาคเอง แต่ท่านก็ได้กล่าว "อนุโมทนาบุญ" กับพวกเราด้วย.....
ตอนขากลับเราก็เดินออกจากวัด เดินเล่น ๆ แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้ง ๆ ที่ร้อนมาก ๆ ก็เหมือนไม่ร้อน เที่ยวกลับนี่โชคดีหน่อยไม่ตกรถ เปลี่ยนรถแค่ครั้งเดียว.....เอาล่ะ...เรื่องนี้ก็เขียนมายาวพอสมควรแล้ว ทีนี้เรามาช่วยกันชมภาพวัดธรรมปาละกันหน่อยนะ ดูชิว่าสวยมากมั้ย เชิญชมจ๊ะ.....
ได้ชมภาพสวย ๆ ของวัดธรรมปาละแล้ว อยากไปทำบุญที่นั่นมั้ยคะ บรรยากาศจริง ๆ สวยกว่านี้หลายเท่าจ๊ะ .........สำหรับบทความนี้ก็จะขอยุติเพียงแค่นี้ล่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ
...................................
วันนี้ก็พบกันอีกเกี่ยวกับเรื่องวัด แต่ว่าไม่ใช่ในเมืองไทย เป็นวัดไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วัดนี้อยู่บนภูเขาสูงมากเลย มีสิ่งแวดล้อมสวยงามน่าดูไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไปลำบากหน่อย.....เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค. ที่ผ่านมานี้ ฉันพร้อมด้วยสามีและลูกชายได้มีโอกาสไปทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัดธรรมปาละ,Kandersteg....คานเดอร์สเต็กเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่สวยงามน่าเที่ยว เป็นสถานที่ ๆ คนส่วนมากชอบไปเดินออกกำลังกาย หรือไปไต่เขากัน สำหรับฉัน...เรื่องเสี่ยงตายอย่างเช่นไต่เขานี้ ไม่ขอร่วมกิจกรรมด้วย เพราะว่าไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเลย สู้ไปทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรมจะได้ประโยชน์กว่า....วันนี้ก็มีเรื่องตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ
วัดธรรมปาละ เป็นวัดไทยวัดหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นวัดป่า ที่เรียกว่า "วัดป่า" เพราะว่าวัดนี้เป็นวัดหนึ่งในสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี มีหลวงพ่อชา (พระโพธิญาณเถร) เป็นครูบาอาจารย์ที่พระทุกรูปเคารพนับถือมาก แต่เป็นวัดที่มีพระเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น คือเป็นพระฝรั่งหมดเลย มีแค่ ๓ รูป เจ้าอาวาสพูดไทยได้นิดหน่อย ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะคนไทยไม่ค่อยไปที่วัดนี้ เนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก วัดนี้มีกฏระเบียบเข้มงวดมาก นับตั้งแต่การติดต่อกับทางวัด กำหนดวันและเวลาสำหรับโทรติดต่อได้ตั้งแต่วันพุธ-ศุกร์ เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ไม่เหมือนวัดไทยอื่น ๆ จะโทรตอนไหนก็มีคนรับสายบริการญาติโยมเสมอ....
เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ฉันได้โทรติดต่อทางวัด แจ้งความประสงค์ว่า เราจะไปถวายเพลพระสงฆ์ ก็มีแหม่มคนหนึ่งทำหน้าที่รับสาย พูดภาษาเยอรมัน เธอก็สอบถามว่า "คุณเคยไปที่วัดนี้บ้างหรือยัง" ฉันตอบว่่่่่า "เคยไปครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๘ ปีมาแล้ว" แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า "ต้องการจะมาทำอะไร ฉันก็บอกว่าจะมาทำบุญถวายอาหารพระ และลูกชายอยากจะสนทนาธรรมกับพระ เขาสนใจศึกษาธรรมะ เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมาบวช เพื่อศึกษาธรรมที่วัดนี้บ้าง" คุณแหม่ก็เข้าใจที่ฉันพูด แล้วก็บอกว่า ตอนนี้พระไม่อยู่ ยังตอบไม่ได้ว่าจะให้พวกเรามาทำบุญได้วันไหน.....จะว่าไป เธอก็บริการดีน่ะ เธอบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะโทรบอกฉัน ให้ทราบว่าจะไปทำบุญได้ในวันไหน
วันรุ่งขึ้นราว ๆ ๘ โมงเช้า คุณแหม่มรีบโทรแจ้งข่าวให้ฉันทราบว่า ในวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค.นี้ พระเจ้าอาวาสอยู่วัด ให้พวกเราไปทำบุญได้ ฉันถามเธอเพื่อความแน่ใจก่อน ที่วัดมีพระกี่รูป มีคนอยู่ที่วัดกี่คน จะได้เตรียมอาหารไปเผื่อด้วย เธอตอบว่ามี ๑๐ คน เป็นพวกแขกที่มาปฏิบัติธรรม ฉันเลยบอกเธอว่า ถ้าคนมากเป็นสิบ ๆ คน ฉันก็คงหอบไม่ไหวหรอก เพราะอยู่ไกล ต้องนั่งรถไฟไปแต่เช้า ก็ตกลงว่าเราทำเฉพาะพระและเผื่อคนอื่นด้วยนิดหน่อยพอสมควร....พระที่วัดนี้ท่านฉันแต่อาหารมังสะวิรัติเท่านั้น
ในเช้าวันที่ ๒๓ ก.ค. ฉันและน้องสาวได้ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เพื่อทำอาหารคาวและของหวานด้วย ที่ต้องตื่นแต่เช้า เพราะว่าตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปทำบุญที่วัดป่า นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน ก่อนนอนไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก แต่บอกปู่เทวดาไว้ "ปู่..ช่วยปลุกลูกด้วยน่ะ พรุ่งนี้ตอนตี ๔ ลูกจะตื่นทำกับข้าว" พอถึงตี ๔ ได้ยินเสียงดัง "ปั้ง" ที่ประตูห้องนอน.....ฉันตกใจตื่นทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นปู่เทวดามาปลุกแน่ ๆ เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างเตียง ก็เป็นเวลาตี ๔ จริง ๆ ด้วย มองออกนอกหน้าต่างก็ยังมืดอยู่ งั้นขอหลับสักนิด ฉันพูดในใจกับปู่ "ได้ยินเสียงปลุกแล้วจ๊ะปู่ แต่ลูกขอนอนต่อสัก ๑๕ นาทีนะ เพราะยังง่วงอยู่" รู้สึกว่าปู่ไม่ยอมเด็ดขาด อยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียวหลังมาก ฉันเลยต้องรีบลุกทันที อาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเช่นกัน....เทวดาท่านไม่ชอบคนขี้เกียจ เราก็รู้อยู่ แต่ก็ลองใจท่านดูก่อน เผื่อว่าท่านจะมีการอนุโลมบ้าง แต่ท่านไม่พูดอะไรเลย เล่นทำโทษกันเฉย
การไปทำบุญครั้งนี้ เป็นการทดสอบความอดทนด้วยนะ เดินทางไกลและอากาศร้อนมาก เราเดินทางโดยรถไฟตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ต้องเดินเท้าอีกประมาณ ๑๕ นาที แต่ว่าตอนขาไปเราตกรถไฟตอนที่จะเปลี่ยนขบวน ดูซิ...คนบ้านนอกไปบ้านนอกก็ยังหลงได้แถมยังตกรถไฟอีกต่างหาก ตลกดีจัง....เพราะมัวแต่ไปแวะห้องสุขากัน ก็เห็นว่ามีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลยแวะดื่มกาแฟและกินอะไรลองท้องสักหน่อย เสร็จแล้วก็ไปยืนรอรถไฟ มีขบวนหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าเรา แต่ก็ไม่เอะใจ รถขบวนใหม่มาถึง เรารีบขึ้นทันที นั่งไปได้สักครู่เกิดเอะใจ ขึ้นผิดขบวน เพราะฟังจากที่เขาประกาศ ไม่เห็นมีชื่อ Kandersteg เลยต้องรีบเผ่นลงรถกันแทบไม่ทัน แต่โชคเข้าข้าง รถยังไม่รีบไป.....เราเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่า รถขบวนที่จอดอยู่ข้างหน้าเราตอนแรกนั่นแหละถูกต้อง แต่เราไม่เรียบร้อยกันเอง ไม่ได้เช็คเวลารถอีกครั้ง และถ้าจะรอขึ้นขบวนใหม่ ก็ต้องรออีก ๑ ชั่วโมง เพราะรถไฟที่นั่นจะแล่นทุก ๆ ชั่วโมง
พระที่วัดธรรมปาละฉันเพลเวลา ๑๑.๓๐ น. ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑ โมงแล้ว ถ้ารอรถไฟก็คงไม่ทันการณ์แน่เลย จึงยอมเสียเงินค่าแท็กซี่ ก็นั่งนานประมาณ ๔๕ นาที เพราะมัวไปหลงอีกรอบหนึ่ง ไปถึงเขตวัดแล้ว แต่หาทางเข้าวัดไม่ถูก จึงทำให้เสียเวลา แต่ก็ยังทันเวลาเพล.....พอไปถึงวัด รู้สึกเงียบสงบจริง ๆ ประตูวัดเปิดไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เรายืนอยู่หน้าประตูวัดสักครู่หนึ่ง คิดว่าจะมีคนออกมาต้อนรับ ที่ไหนได้ยืนไปเถอะ ไม่ได้ถวายเพลแน่ ๆ ไม่มีทางเลือกเลย เราต้องยอมเสียมารยาทเข้าไปในห้องพระ โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย เข้าไปกราบพระ แล้วพากันเที่ยวเดินตามห้องต่าง ๆ เพื่อหาใครสักคน ร้อง "ฮัลโหล ๆ " ก็ไม่มีใครออกมาต้อนรับ ฉันก็เลยบุกถึงในครัว..... ปรากฏว่าคนที่อยู่ในครัวตกใจ อยู่่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าโผล่มา ฉันบอกว่า " แันได้โทรนัดกับคุณไว้ว่า วันนี้จะนำอาหารมาถวายพระ" แหม่มแม่ครัวทำท่างง ๆ ฉันก็เลยแนะนำตัว "ฉันชื่อนาง......ได้ตกลงทางโทรศัพท์กับคุณ.....ว่าจะมาทำบุญ" พอเธอได้ยินเช่นนั้น แล้วฉันว่า "ฉันลืมไป" ดูซิ...อย่างนี้ก็มีด้วย แถมไม่มีการขอโทษกันด้วย แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้เขาขอโทษหรอกนะ แต่ว่าตามมารยาทก็ควรจะเป็นเช่นนั้นน่ะ ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเราได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองกับพระเจ้าอาวาส
ท่านเจ้าอาวาสชื่อ "เขมะสิริ" ท่านบอกว่า ท่านก็ทราบว่าพวกเราจะมาทำบุญ แต่ไม่ทราบว่าจะถวายเพล
ท่านได้เชิญให้พวกเรารับประทานอาหารที่วัด และบอกว่า "เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ค่อยสนทนากันเป็นส่วนตัว" ระหว่างที่พระท่านฉันอาหาร เราก็ออกไปชมวัด และเก็บภาพสวย ๆ ไว้มาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ.....หลังจากที่พระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รับประทานอาหารต่อ พระท่านฉันในบาตร
เขาจัดอาหารแบบบุฟเฟ่ ใครจะรับประทานอะไรก็ตักเอาเองตามสบาย แม่ครัวแหม่มกับพ่อขาวช่วยกันทำอาหารฝรั่ง ส่วนอาหารของเราก็เป็นแบบไทย ๆ ท่านก็ฉันพอสมควร
พระเจ้าอาวาสเห็นว่าพวกเรารับประทานอาหารเสร็จแล้ว ท่านก็ออกไปจัดที่นั่งของท่าน ที่หน้าอาคาร แล้วก็เข้ามาเรียกพวกเรา ให้ออกไปนั่งคุยกันข้างนอก บรรยากาศที่นั้นดีมาก แดดจ้าแต่ไม่ร้อน มีลมพัดมาอ่อน ๆ ปะทะกายตลอดเวลา การสนทนาวันนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่นใจ และประทับใจในความเมตตา ที่ท่านสละเวลาพักผ่อนของท่าน มาสนทนากับพวกเรา มีความรู้สึก
เหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมานานแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราเพิ่งจะเห็นท่านเป็นครั้งแรก คงจะเคยทำบุญกับท่านมาแต่ชาติปางก่อนแล้วมั้ง...... ส่วนลูกชายก็ได้สนทนาธรรมเป็นส่วนตัวกับท่านด้วย โดยท่านเปิดโอกาสให้พูดก่อนใคร ส่วนพ่อแม่ให้พูดทีหลัง ตอนหลังก็คุยกันสารพัดเรื่อง ก็เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ ท่านได้เมตตามอบหนังสือธรรมะ และซีดีธรรมของพระอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายท่าน ให้ลูกชายมาศึกษาเผื่อสนใจจะไปฝึกเจริญสมาธิ ท่านบอกว่าจะไปเมื่อไรก็ได้ ท่านยินดีต้อนรับ.....เราได้สนทนากันประมาณร่วม ๒ ชั่วโมง ก็พอสมควรแก่เวลา จึงได้ถวายปัจจัยถวายวัด แต่ท่านไม่รับปัจจัยเป็นส่วนตัว ท่านบอกว่า "พระไม่รับปัจจัย" จึงบอกให้เรานำไปใส่ตู้บริจาคเอง แต่ท่านก็ได้กล่าว "อนุโมทนาบุญ" กับพวกเราด้วย.....
ตอนขากลับเราก็เดินออกจากวัด เดินเล่น ๆ แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้ง ๆ ที่ร้อนมาก ๆ ก็เหมือนไม่ร้อน เที่ยวกลับนี่โชคดีหน่อยไม่ตกรถ เปลี่ยนรถแค่ครั้งเดียว.....เอาล่ะ...เรื่องนี้ก็เขียนมายาวพอสมควรแล้ว ทีนี้เรามาช่วยกันชมภาพวัดธรรมปาละกันหน่อยนะ ดูชิว่าสวยมากมั้ย เชิญชมจ๊ะ.....
พระประธานของวัดธรรมปาละ |
พระอาจารย์เขมะสิริ เจ้าอาวาสวัด |
พระปางลีลาสง่างามมาก |
ป้ายชื่อวัดแบบไทย ๆ |
จั่วหน้าประตูเข้าวัด |
ประตูเข้าวัดมีเทวดาเฝ้าซ้ายขวา |
ทางเข้าวัดมีต้นไม้สองข้างทางเป็นระยะ |
ภูเขาสูงด้านข้างวัด มีน้ำตกไหลตลอดปี |
ภูเขาใกล้ ๆ วัด ดูดี ๆ มีหน้าตาเหมือนยักษ์ |
วิวภูเขาสูงหน้าวัด |
มีกระเช้าไฟฟ้าบริการ สำหรับขึ้นไปบนยอดเขา |
ได้ชมภาพสวย ๆ ของวัดธรรมปาละแล้ว อยากไปทำบุญที่นั่นมั้ยคะ บรรยากาศจริง ๆ สวยกว่านี้หลายเท่าจ๊ะ .........สำหรับบทความนี้ก็จะขอยุติเพียงแค่นี้ล่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ
...................................