วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ (วัดธรรมปาละ, Kandersteg)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้ก็พบกันอีกเกี่ยวกับเรื่องวัด แต่ว่าไม่ใช่ในเมืองไทย  เป็นวัดไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  วัดนี้อยู่บนภูเขาสูงมากเลย มีสิ่งแวดล้อมสวยงามน่าดูไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไปลำบากหน่อย.....เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค. ที่ผ่านมานี้  ฉันพร้อมด้วยสามีและลูกชายได้มีโอกาสไปทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัดธรรมปาละ,Kandersteg....คานเดอร์สเต็กเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่สวยงามน่าเที่ยว เป็นสถานที่ ๆ คนส่วนมากชอบไปเดินออกกำลังกาย หรือไปไต่เขากัน  สำหรับฉัน...เรื่องเสี่ยงตายอย่างเช่นไต่เขานี้ ไม่ขอร่วมกิจกรรมด้วย  เพราะว่าไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเลย  สู้ไปทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรมจะได้ประโยชน์กว่า....วันนี้ก็มีเรื่องตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ

วัดธรรมปาละ เป็นวัดไทยวัดหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นวัดป่า ที่เรียกว่า "วัดป่า" เพราะว่าวัดนี้เป็นวัดหนึ่งในสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี  มีหลวงพ่อชา (พระโพธิญาณเถร) เป็นครูบาอาจารย์ที่พระทุกรูปเคารพนับถือมาก  แต่เป็นวัดที่มีพระเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น  คือเป็นพระฝรั่งหมดเลย มีแค่ ๓ รูป  เจ้าอาวาสพูดไทยได้นิดหน่อย ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะคนไทยไม่ค่อยไปที่วัดนี้  เนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก  วัดนี้มีกฏระเบียบเข้มงวดมาก  นับตั้งแต่การติดต่อกับทางวัด  กำหนดวันและเวลาสำหรับโทรติดต่อได้ตั้งแต่วันพุธ-ศุกร์  เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ไม่เหมือนวัดไทยอื่น ๆ จะโทรตอนไหนก็มีคนรับสายบริการญาติโยมเสมอ....

เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ฉันได้โทรติดต่อทางวัด แจ้งความประสงค์ว่า เราจะไปถวายเพลพระสงฆ์  ก็มีแหม่มคนหนึ่งทำหน้าที่รับสาย  พูดภาษาเยอรมัน เธอก็สอบถามว่า "คุณเคยไปที่วัดนี้บ้างหรือยัง" ฉันตอบว่่่่่า "เคยไปครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๘ ปีมาแล้ว"  แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า "ต้องการจะมาทำอะไร  ฉันก็บอกว่าจะมาทำบุญถวายอาหารพระ และลูกชายอยากจะสนทนาธรรมกับพระ เขาสนใจศึกษาธรรมะ เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมาบวช  เพื่อศึกษาธรรมที่วัดนี้บ้าง"  คุณแหม่ก็เข้าใจที่ฉันพูด แล้วก็บอกว่า ตอนนี้พระไม่อยู่ ยังตอบไม่ได้ว่าจะให้พวกเรามาทำบุญได้วันไหน.....จะว่าไป เธอก็บริการดีน่ะ เธอบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะโทรบอกฉัน ให้ทราบว่าจะไปทำบุญได้ในวันไหน

วันรุ่งขึ้นราว ๆ ๘ โมงเช้า คุณแหม่มรีบโทรแจ้งข่าวให้ฉันทราบว่า  ในวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค.นี้ พระเจ้าอาวาสอยู่วัด ให้พวกเราไปทำบุญได้  ฉันถามเธอเพื่อความแน่ใจก่อน  ที่วัดมีพระกี่รูป มีคนอยู่ที่วัดกี่คน จะได้เตรียมอาหารไปเผื่อด้วย  เธอตอบว่ามี ๑๐ คน เป็นพวกแขกที่มาปฏิบัติธรรม  ฉันเลยบอกเธอว่า ถ้าคนมากเป็นสิบ ๆ คน ฉันก็คงหอบไม่ไหวหรอก เพราะอยู่ไกล ต้องนั่งรถไฟไปแต่เช้า  ก็ตกลงว่าเราทำเฉพาะพระและเผื่อคนอื่นด้วยนิดหน่อยพอสมควร....พระที่วัดนี้ท่านฉันแต่อาหารมังสะวิรัติเท่านั้น

ในเช้าวันที่ ๒๓ ก.ค. ฉันและน้องสาวได้ตื่นตั้งแต่ตี ๔  เพื่อทำอาหารคาวและของหวานด้วย  ที่ต้องตื่นแต่เช้า  เพราะว่าตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปทำบุญที่วัดป่า  นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน  ก่อนนอนไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก แต่บอกปู่เทวดาไว้  "ปู่..ช่วยปลุกลูกด้วยน่ะ พรุ่งนี้ตอนตี ๔  ลูกจะตื่นทำกับข้าว"  พอถึงตี ๔ ได้ยินเสียงดัง "ปั้ง" ที่ประตูห้องนอน.....ฉันตกใจตื่นทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นปู่เทวดามาปลุกแน่ ๆ  เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างเตียง ก็เป็นเวลาตี ๔ จริง ๆ ด้วย  มองออกนอกหน้าต่างก็ยังมืดอยู่  งั้นขอหลับสักนิด  ฉันพูดในใจกับปู่  "ได้ยินเสียงปลุกแล้วจ๊ะปู่  แต่ลูกขอนอนต่อสัก ๑๕ นาทีนะ เพราะยังง่วงอยู่" รู้สึกว่าปู่ไม่ยอมเด็ดขาด  อยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียวหลังมาก  ฉันเลยต้องรีบลุกทันที อาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเช่นกัน....เทวดาท่านไม่ชอบคนขี้เกียจ  เราก็รู้อยู่  แต่ก็ลองใจท่านดูก่อน เผื่อว่าท่านจะมีการอนุโลมบ้าง  แต่ท่านไม่พูดอะไรเลย เล่นทำโทษกันเฉย

การไปทำบุญครั้งนี้ เป็นการทดสอบความอดทนด้วยนะ  เดินทางไกลและอากาศร้อนมาก  เราเดินทางโดยรถไฟตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง  แล้วจากนั้นก็ต้องเดินเท้าอีกประมาณ ๑๕ นาที  แต่ว่าตอนขาไปเราตกรถไฟตอนที่จะเปลี่ยนขบวน  ดูซิ...คนบ้านนอกไปบ้านนอกก็ยังหลงได้แถมยังตกรถไฟอีกต่างหาก  ตลกดีจัง....เพราะมัวแต่ไปแวะห้องสุขากัน  ก็เห็นว่ามีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลยแวะดื่มกาแฟและกินอะไรลองท้องสักหน่อย  เสร็จแล้วก็ไปยืนรอรถไฟ  มีขบวนหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าเรา แต่ก็ไม่เอะใจ  รถขบวนใหม่มาถึง เรารีบขึ้นทันที  นั่งไปได้สักครู่เกิดเอะใจ  ขึ้นผิดขบวน เพราะฟังจากที่เขาประกาศ ไม่เห็นมีชื่อ Kandersteg  เลยต้องรีบเผ่นลงรถกันแทบไม่ทัน  แต่โชคเข้าข้าง รถยังไม่รีบไป.....เราเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่า รถขบวนที่จอดอยู่ข้างหน้าเราตอนแรกนั่นแหละถูกต้อง  แต่เราไม่เรียบร้อยกันเอง ไม่ได้เช็คเวลารถอีกครั้ง  และถ้าจะรอขึ้นขบวนใหม่  ก็ต้องรออีก ๑ ชั่วโมง เพราะรถไฟที่นั่นจะแล่นทุก ๆ ชั่วโมง

พระที่วัดธรรมปาละฉันเพลเวลา ๑๑.๓๐ น. ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑ โมงแล้ว ถ้ารอรถไฟก็คงไม่ทันการณ์แน่เลย  จึงยอมเสียเงินค่าแท็กซี่  ก็นั่งนานประมาณ  ๔๕ นาที เพราะมัวไปหลงอีกรอบหนึ่ง ไปถึงเขตวัดแล้ว แต่หาทางเข้าวัดไม่ถูก จึงทำให้เสียเวลา แต่ก็ยังทันเวลาเพล.....พอไปถึงวัด รู้สึกเงียบสงบจริง ๆ ประตูวัดเปิดไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เรายืนอยู่หน้าประตูวัดสักครู่หนึ่ง  คิดว่าจะมีคนออกมาต้อนรับ  ที่ไหนได้ยืนไปเถอะ ไม่ได้ถวายเพลแน่ ๆ  ไม่มีทางเลือกเลย เราต้องยอมเสียมารยาทเข้าไปในห้องพระ โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย  เข้าไปกราบพระ แล้วพากันเที่ยวเดินตามห้องต่าง ๆ  เพื่อหาใครสักคน  ร้อง "ฮัลโหล ๆ " ก็ไม่มีใครออกมาต้อนรับ  ฉันก็เลยบุกถึงในครัว..... ปรากฏว่าคนที่อยู่ในครัวตกใจ  อยู่่ ๆ  ก็มีคนแปลกหน้าโผล่มา  ฉันบอกว่า " แันได้โทรนัดกับคุณไว้ว่า วันนี้จะนำอาหารมาถวายพระ" แหม่มแม่ครัวทำท่างง ๆ  ฉันก็เลยแนะนำตัว "ฉันชื่อนาง......ได้ตกลงทางโทรศัพท์กับคุณ.....ว่าจะมาทำบุญ"  พอเธอได้ยินเช่นนั้น  แล้วฉันว่า  "ฉันลืมไป"  ดูซิ...อย่างนี้ก็มีด้วย  แถมไม่มีการขอโทษกันด้วย  แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้เขาขอโทษหรอกนะ  แต่ว่าตามมารยาทก็ควรจะเป็นเช่นนั้นน่ะ  ไม่เป็นไร  ที่สำคัญคือเราได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองกับพระเจ้าอาวาส

ท่านเจ้าอาวาสชื่อ "เขมะสิริ" ท่านบอกว่า ท่านก็ทราบว่าพวกเราจะมาทำบุญ แต่ไม่ทราบว่าจะถวายเพล
ท่านได้เชิญให้พวกเรารับประทานอาหารที่วัด  และบอกว่า "เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ค่อยสนทนากันเป็นส่วนตัว"  ระหว่างที่พระท่านฉันอาหาร  เราก็ออกไปชมวัด และเก็บภาพสวย ๆ ไว้มาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ.....หลังจากที่พระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็รับประทานอาหารต่อ  พระท่านฉันในบาตร
เขาจัดอาหารแบบบุฟเฟ่  ใครจะรับประทานอะไรก็ตักเอาเองตามสบาย  แม่ครัวแหม่มกับพ่อขาวช่วยกันทำอาหารฝรั่ง ส่วนอาหารของเราก็เป็นแบบไทย ๆ  ท่านก็ฉันพอสมควร

พระเจ้าอาวาสเห็นว่าพวกเรารับประทานอาหารเสร็จแล้ว  ท่านก็ออกไปจัดที่นั่งของท่าน ที่หน้าอาคาร  แล้วก็เข้ามาเรียกพวกเรา  ให้ออกไปนั่งคุยกันข้างนอก  บรรยากาศที่นั้นดีมาก แดดจ้าแต่ไม่ร้อน มีลมพัดมาอ่อน ๆ ปะทะกายตลอดเวลา  การสนทนาวันนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่นใจ และประทับใจในความเมตตา ที่ท่านสละเวลาพักผ่อนของท่าน มาสนทนากับพวกเรา  มีความรู้สึก
เหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมานานแล้ว  ทั้ง ๆ  ที่เราเพิ่งจะเห็นท่านเป็นครั้งแรก  คงจะเคยทำบุญกับท่านมาแต่ชาติปางก่อนแล้วมั้ง...... ส่วนลูกชายก็ได้สนทนาธรรมเป็นส่วนตัวกับท่านด้วย  โดยท่านเปิดโอกาสให้พูดก่อนใคร  ส่วนพ่อแม่ให้พูดทีหลัง  ตอนหลังก็คุยกันสารพัดเรื่อง ก็เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ ท่านได้เมตตามอบหนังสือธรรมะ และซีดีธรรมของพระอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายท่าน ให้ลูกชายมาศึกษาเผื่อสนใจจะไปฝึกเจริญสมาธิ  ท่านบอกว่าจะไปเมื่อไรก็ได้  ท่านยินดีต้อนรับ.....เราได้สนทนากันประมาณร่วม ๒ ชั่วโมง  ก็พอสมควรแก่เวลา  จึงได้ถวายปัจจัยถวายวัด  แต่ท่านไม่รับปัจจัยเป็นส่วนตัว ท่านบอกว่า "พระไม่รับปัจจัย"  จึงบอกให้เรานำไปใส่ตู้บริจาคเอง  แต่ท่านก็ได้กล่าว  "อนุโมทนาบุญ" กับพวกเราด้วย.....

ตอนขากลับเราก็เดินออกจากวัด เดินเล่น ๆ แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้ง ๆ ที่ร้อนมาก ๆ ก็เหมือนไม่ร้อน  เที่ยวกลับนี่โชคดีหน่อยไม่ตกรถ  เปลี่ยนรถแค่ครั้งเดียว.....เอาล่ะ...เรื่องนี้ก็เขียนมายาวพอสมควรแล้ว  ทีนี้เรามาช่วยกันชมภาพวัดธรรมปาละกันหน่อยนะ  ดูชิว่าสวยมากมั้ย  เชิญชมจ๊ะ..... 
พระประธานของวัดธรรมปาละ

พระอาจารย์เขมะสิริ เจ้าอาวาสวัด
พระปางลีลาสง่างามมาก
ป้ายชื่อวัดแบบไทย ๆ
จั่วหน้าประตูเข้าวัด
ประตูเข้าวัดมีเทวดาเฝ้าซ้ายขวา
ทางเข้าวัดมีต้นไม้สองข้างทางเป็นระยะ
ภูเขาสูงด้านข้างวัด มีน้ำตกไหลตลอดปี
ภูเขาใกล้ ๆ วัด ดูดี ๆ มีหน้าตาเหมือนยักษ์
วิวภูเขาสูงหน้าวัด
มีกระเช้าไฟฟ้าบริการ  สำหรับขึ้นไปบนยอดเขา

ได้ชมภาพสวย ๆ ของวัดธรรมปาละแล้ว  อยากไปทำบุญที่นั่นมั้ยคะ  บรรยากาศจริง ๆ สวยกว่านี้หลายเท่าจ๊ะ .........สำหรับบทความนี้ก็จะขอยุติเพียงแค่นี้ล่ะ  แล้วพบกันใหม่นะคะ

                                              
                                               ...................................