สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านคงสบายดีนะคะ นี่ก็ใกล้เทศกาลงานสงกรานต์หรือปีใหม่ของไทย และเป็นวันครอบครัวด้วย ท่านที่อยู่ต่างจังหวัดก็คงจะต้องไปร่วมทำบุญตักบาตร,สรงน้ำพระและรดน้ำอวยพรให้แก่ผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณตามประเพณีอันดีงามของไทยสืบต่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราญ ฉันก็คงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอก เพราะเพิ่งกลับจากท่องเที่ยวแสวงบุญเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง แต่เราก็ทำสงกรานต์ในครอบครัวเป็นประจำทุกปี คือทำแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปทำบุญที่วัด เพราะบุญคือการทำความดี บุญอยู่ที่ใจ ๆ ที่สงบจากอกุศล เราสวดมนต์ร่วมกันทั้งครอบครัว เสร็จแล้วก็มีการสรงน้ำพระพุทธรูปที่เราบูชาไว้ในบ้าน แค่นี้จิตใจก็เบิกบานแล้ว ถ้าท่านไม่มีเวลาที่จะไปวัดหรือไม่สะดวกด้วยเหตุผลหลายประการ จะปฏิบัติอย่างที่กล่าวมาแล้วก็ไม่ผิดจ๊ะ
เกริ่นมาซะยาวเหยียดเลยน่ะ เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านรำคาญมากกว่านี้ ฉันก็จะขอเล่าเรื่องการไปแสวงบุญต่อดีกว่า.....หลังจากที่เราได้แวะชมวัดหลวงปู่โตและได้รับประทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าชาววังอิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ จุดมุ่งหมายปลายทางก็คือ จะต้องถึงจังหวัดนครพนมก่อนเวลาค่ำ เส้นทางสายนี้จะต้องข้ามเทือกเขาภูพานซึ่งสูงพอสมควร ทางคดเคี้ยงเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแทบตลอดเวลา บางครั้งก็เล่นเอาโสตอื้อซื่อบื่อไปเลย บนเทือกเขาภูพานก็มีต้นไม้เขียวสดงดงามน่าดูเหมือนกัน ก็สวยไปอีกแบบ ถนนก็ดูมีคุณภาพดีพอสมควร การขับรถของคนไทยรู้สึกจะมีมารยาทในการแซง มีส่วนน้อยที่ขับรีบร้อนมาก แซงดะแล้วก็ชนดะก็มี กว่าจะข้ามเทือกเขาภูพานได้ ก็รู้สึกเวียนศีรษะนิด ๆ และเมื่อยเอวหน่อย ๆ เพราะว่าต้องเอนตัวไปตามรถอยู่ตลอดเวลา บ้างก็เอนมาก บ้างก็เอนน้อย โอ้ย..เมื่อยไปหมดทั้งตัว พอก่อนจะสุดทางลงภูเขา ได้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ ฝนตกอย่างแรงแบบไม่มีการเตือนให้ทราบล่วงหน้า อยู่ ๆ ก็เหมือนน้ำเทสาดลงมาจากเบื้องบน แต่ตกแค่ชั่วขณะเท่านั้น ทำให้อากาศภายนอกดูเย็นสบาย คนขับรถบอกว่าฝนไม่ตกภาคอีสานมาเป็นเวลานานแล้ว เพิ่งตกวันนี้เป็นครั้งแรก นึกอยู่ในใจเราก็โชคดีมาเจออากาศไม่ร้อนมาก.....หลังจากพ้นเทือกเขามาเรียบร้อยแล้ว รถแล่นประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงจังหวัดสกลนคร คนขับรถบอกว่า ที่นี่มีวัดพระธาตุที่มีชื่อและสวยงามมาก เราควรไปแวะนมัสการพระธาตุที่วัดนี้ก่อน รายการนี้ก็นอกโปรแกรมที่เรากำหนดไว้ แต่ก็เป็นผลพลอยได้ เพราะเราจะต้องไปนมัสการพระธาตุ ให้ได้ครบถึง ๔ แห่ง ก็นับเอาวัดนี้เป็นวัดแรก.....พอเรามาถึงวัดฝนก็ตกอีกครั้งหนึ่งอย่างหนัก แต่ก็เพียงชั่วครู่แล้วก็หยุด ทำให้อากาศเย็นสบาย เรามาถึงวัดประมาณ ๕ โมงเย็นเศษ ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศจะครึ้ม ๆ หน่อย เร่งรีบทำเวลาเพื่อที่จะไปให้ถึงนครพนมก่อนค่ำ เลยไม่ได้ชมวัดโดยทั่ว ได้แค่เพียงนมัสการพระประธาน,นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเจดีย์เชิงชุม
วัดนี้มีชื่อว่า
"วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร" ตั้งอยู่ริมหนองหาร ในเขตเทศบาลสกลนคร เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุสำคัญคือ พระธาตุเชิงชุม ซึ่งหมายถึงสถานที่ชุมนุมของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ พระธาตุเชิงชุม ประดิษฐานอยู่บนเนินสูง ตั้งหันหน้าไปทางหนองหารที่อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยมสูง ๒๔ เมตรเศษ ฐานเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยมไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์มีซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท ภายในพระวิหารประดิษฐาน
"หลวงพ่อพระองค์แสน" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร....ที่วัดนี้มี
"บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" เป็นบ่อน้ำที่มีมาพร้อมองค์พระธาตุเชิงชุม เดิมมีน้ำพุพุ่งขึ้นมา เนื่องจากเป็นปลายของลำน้ำใต้ดิน ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาภูพาน ได้ไหลผ่านศูนย์ราชการด้านทิศเหนือ ผ่านใจกลางเมือง แล้วไหลมาผุดที่นี่ เรียกว่า
"ภูน้ำซอด" หรือ
"ภูน้ำลอด" แล้วไหลผ่านไปที่สระพังทอง ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ติดกับวัด
ตำนานเกี่ยวกับวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ ได้เสด็จจากพระวิหารเชตวัน เสด็จตามลำแม่น้ำโขง ซึ่งได้ทรงประทับพระบาทไว้หลายแห่งในแถบนี้ เช่น พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทโขงนาเพล พระพุทธบาทเวินปลา ภูกำพร้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุพนม พระพุทธบาทที่พูน้ำลอดเชิงชุม และพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ, พระพุทธเจ้าโกนาคมโน, พระพุทธเจ้ากัสสโป,พระพุทธเจ้าโคตม....เมื่อพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ ได้ทรงทราบข่าว การเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอานนท์ จึงได้ออกไปต้อนรับพร้อมกับพระนางนารายณ์เจงเวงราชเทวี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธประสงค์ ให้พระเจ้าสุวรรณภิงคาระทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น จึงได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้มีดวงมณีรัตน์มีรัศมีพุ่งออกจากพระโอษฐ์พร้อมกัน ๓ ดวง เมื่อพระเจ้าสุวรรณภิงคาระได้เห็นความอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงมีความศรัทธาเลื่อมใส และได้เปล่งวาจาสาธุการด้วยความปีติ....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า
"ณ ที่นี้เป็นสถานที่อันอุดมประเสริฐที่พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ จะได้มาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย" พระเจ้าสุวรรณภิงคาระได้บังเกิดความปีติโสมนัสยิ่ง จึงได้ถอดมงกุฎของพระองค์สวมบูชารอยพระพุทธบาท แล้วได้สร้างเจดีย์ครอบไว้ จึงได้ชื่อว่า
"พระธาตุเชิงชุม" ตามพงศาวดารลาว ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง เรียกพระธาตุเชิงชุมว่า
"พระธาตุหนองหาร"
|
ความงามอีกมุมหนึ่งของพระธาตุเจดีย์ |
|
พระอุโบสถวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร |
|
ความงามอีกมุมหนึ่งของวัด |
|
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ |
|
ด้านหน้าของวัดพระธาตุเชิงชุม |
สำหรับบันทึกการท่องเที่ยวและแสวงบุญตอนที่ ๒ นี้ก็ขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อนจ๊ะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)