วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

งานบูชาประจำปีของชาวฮินดู

เครื่องบูชาพระแมศรีมหาอุมาเทวี
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ...วันนี้มีสาระเกี่ยวกับกิจกรรมของชาวฮินดูมาเล่าสู่่กันฟังอีก  เมื่อวานฉันและสามีได้ไปร่วมงานบูชาพิเศษ ในเดือนสิงหาคมทั้งเดือนของทุกปี ที่วัดฮินดูเขาจะจัดพิธีบูชาพิเศษ ด้วยการร้องเพลง "ภชัน" หรือจะเรียกว่า "สวดภชัน" ก็ไม่ผิด

วัดฮินดูในสวิตเซอร์แลนด์ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี จึงไม่มีการทำพิธีแห่พระศิวะ,พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี,พระพิฆเนศ เหมือนทุกปีเพราะเหตุว่า เขามีความเชื่อกันว่า เมื่อมีการย้ายองค์เทพออกจากวัดเก่า จะไม่มีการนำมาใช้ทำพิธีแบบเป็นทางการอีก และจะไม่นำเข้าไปประทับอยู่ในวัดใหม่ด้วย จะต้องรอจนวัดสร้างเสร็จสมบูรณ์ จึงจะสร้างองค์เทพขึ้นมาใหม่และเชิญมาประทับในวิหารได้ เขาจะทำที่ประทับชั่วคราวให้องค์เทพเก่าต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม พิธีบูชาในเทศกาลต่าง ๆ ก็คงปฏิบัติกันตามปกติอยู่


พิธีบูชา
ฉันได้ถามชาวฮินดูที่มาในงานว่า "งานบูชาอะไร" เขาตอบว่า "งานผู้หญิง"  ฟังแล้วรู้สึก งง ๆ  เลยถามต่อว่า "งั้นก็จะมีแต่ผู้หญิงไปร่วมงานใช่มั้ย"  เขาบอก "ผู้ชายก็ไปดูได้"  รู้สึกแปลกตั้งแต่แรกแล้วล่ะ พอเดินเข้าไปในบริเวณวัด ก็เห็นพวกแขกผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยืนออกันอยู่ที่ประตูวิหาร ส่วนพวกผู้หญิงก็จะเข้าไปร่วมกันร้องเพลงภชัน

การสวดภชัน
การร้องภชันนี้เป็นการร้องบูชาพระเจ้า เพื่อเป็นการแสดงความรักและความศรัทธาต่อเทพเจ้า บทสวดนี้จะเป็นภาษาสันสกฤต บรรยายแบบสรุปสั้น ๆ ว่า พระเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเรา การร้องหรือสวดภชันก็ใ เพื่อให้มีพระนามของเทพพระเจ้าประทับอยู่ที่กายและใจ เพื่อเป็นการสร้างพลังแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ให้กับโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราด้วย นอกจากนั้น ยังเป็นการสวด เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตด้วย  ถ้าผู้ร้อง ๆ ด้วยความจริงใจตั้งใจ ก็จะได้ความเมตตาจากพระเจ้าในสิ่งที่ตนปรารถนา

อาหารงานบูชา
ระหว่างที่มีการสวดภชัน พวกสุภาพสตรีสูงอายุจะต้องยืนเพื่อให้ความเคารพแก่พระเจ้าตลอดจนจบ  พอเปลี่ยนคนร้องนำใหม่ก็จะมีการนั่งพัก จะเห็นว่าชาวฮินดูมีความเชื่อและศรัทธาในองค์เทพเจ้าของเขามาก และจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอ ระหว่างทำพิธีจะสำรวมกายวาจาดีมาก ๆ การบูชาไฟเป็นสิ่งสำคัญมาก ใคร ๆ ก็กลัวว่าจะไม่ได้เข้าไปบูชาไฟ ก็จะรีบแย่งกันเข้าไปอยู่ในแถวหน้าเพื่อที่จะได้บูชาก่อน ตอนนี้ก็จะไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก  เพราะเหตุว่าขาดการสำรวมทุกอย่างเลย  พวกเขาไม่ได้เน้นเรื่องการฝึก เจริญ"สติสัมปชัญญะ" เหมือนในศาสนาพุทธ ซึ่งมีการประพฤติและปฏิบัติต่างกันมาก การได้ไปร่วมพิธีกับพวกชาวฮินดู ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกอย่างหนึ่งและเป็นกุศลวิบากทางตา ท่านผู้อ่านได้อ่านบทความนี้  ก็แสดงว่าท่านก็มีกุศลวิบากทางตาเช่นเดียวกับฉัน ถ้าเราเข้าใจตามความเป็นจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ" ศาสนาต่าง ๆ ก็เป็นธรรมะ เราก็จะสามารถร่วมกิจกรรมได้ทุกศาสนาโดยไม่ติดข้องในสมมติบัญญัติเลย

โอม ศักติ โอม
โอม เจ มา ตา กี ขอชัยชนะจงมีแด่พระแม่ศรีอุมาเทวี

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แม่พระปฐพีกับแม่พระธรณี

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าคงสบายดีนะคะ วันนี้ก็มีเรื่องใหม่แปลกมาเล่าสู่ฟังอีก  เป็นเรื่องจากประสบการณ์ทางจิต เรื่องเกี่ยวกับโลกทิพย์โลกวิญญาณนี้เล่าเท่าไรก็ไม่จบ เพราะตราบใดที่จิตยังทำกิจเป็นปรกติอยู่  จิตที่เคยฝึกอบรมความสงบจนมีกำลังตั้งมั่นแน่วแน่  ย่อมสามารถสื่อกับโลกวิญญาณได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่การฝึกก็ต้องมีวิธีฝึกที่ถูกต้อง ใช่ว่าคิดอยากจะฝึกอย่างไรก็ได้หรือทำแบบส่งเดช ถ้าทำอย่างนั้นเสียเวลาและไร้ประโยชน์  ควรศึกษาตำราเป็นแนวทางและถามผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเจริญสมถกรรมฐาน ควรศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนและจึงลงมือปฏิบัติด้วยความศรัทธาและตั้งใจมั่นด้วย จึงจะปฏิบัติไม่ผิดทาง เพราะเหตุว่าถ้าปฏิบัติเริ่มต้นผิด ๆ ก็จะผิดไปตลอด นั่นเรียกว่า "หลงทาง" ก็ไม่ตรงตามจุดประสงค์ คือจะไม่ได้ความสงบให้แก่จิตเลย

ทีนี้ก็มาเข้าสู่เรื่องเกี่ยวกับ "แม่พระปฐพีและแม่พระธรณี" ดีกว่านะ  คำสองคำนี้มีความหมายเหมือนกัน คือหมายถึง "แผ่นดิน" ทุกท่านก็คงจะคิดว่า "แม่พระธรณีและแม่พระปฐพี" เป็นเทวดาท่านเดียวกัน เมื่อก่อนฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่พอสื่อและพูดคุยกับท่านได้ด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ทราบว่า ท่านมีชื่อต่างกันเพราะทำหน้าที่แตกต่างกัน  แม่ปฐพีเป็นเทวดาที่ทำหน้าที่รับผิดชอบระดับใหญ่กว่าแม่พระธรณี  แม่พระปฐพีดูแลรับผิดชอบคุ้มครองโลกและแผ่นดินทั้งหมด  ท่านผู้ใดอาศัยแผ่นดินท่ากินและอยู่อาศัย  แล้วไม่กระทำความดีต่อแผ่นดินหรือไม่รู้จักกตัญญููต่อผู้มีพระคุณ  หรือคิดทำลายแผ่นดิน ทำลายประเทศชาติ หรือคิดทำลายผู้มีประโยชน์ต่อโลกหรือต่อประเทศชาติ ก็จะโดนแม่พระปฐพีลงโทษ ตังตัวอย่างในสมัยพุทธกาลเช่น พระเทวทัตที่คิดจะทำลายพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดก็โดนแม่พระธรณีสูบ แม่พระธรณีนั้น ทำหน้าทีดูแลแผ่นดินเฉพาะที่ เช่นสถานที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน และสถานที่ต่าง ๆ ทั้งของส่วนบุคคลและของสาธารณสมบัติ บ้านและสถานที่แต่ละแห่งก็จะมีแม่พระธรณีคอยดูแลคุ้มครองอยู่ 

นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวเลยนะ  บางคนอาจจะคิดว่าตนเองมีบ้านอยู่คนเดียว จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครเห็นใครว่า ปล่อยบ้านช่องห้องหับเลอะเทอะ หรือปล่อยสวนให้รกเป็นป่าดงดิบ ระวังนะคะ..ท่านจะโดนเทวดาตักเตือน  จะต้องสะดุ้งตื่นตอนดึก  ฉันเคยโดนมาแล้ว บางครั้งฉันขี้เกียจกวาดใบไม้ในสวน ขี้เกียจน้อย ๆ ไม่เป็นไร แต่บ่อย ๆ ปล่่อยทิ้งไว้เป็นสัปดาห์  เทวดาคงดูใจมานานแล้ว ท่านไม่ชอบความสกปรกรกรุงรัง ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านทนดูไม่ได้ ในที่สุดตอนดึกท่านมาเยือน ไม่ตักเตือนก่อนนะ  มาดุเลยล่ะ ดุจริง ๆ นะ เจออย่างนี้ใครก็ต้องกลัว ถึงกะสะดุ้งตื่น ท่านหาว่าเราไม่ทำความสะอาดสวน จะว่าไปก็จริงของท่าน บางครั้งอากาศร้อน ๆ ก็ไม่ไหวต้องรอให้ร่ม ๆ เย็น ๆ ถึงจะทำงานสวน.....พอโดนเทวดามาดุให้  จากนั้นมาก็ต้องระวังเรื่องความสะอาดทั้งในบ้านนอกบ้าน ไม่เช่นนั้นก็จะโดนเทวดามาบ่นให้ฟังอีก  ท่านเอาเรื่องกับมนุษย์ก็คงเพราะว่าอยากจะให้มนุษย์พยายามกระทำแต่สิ่งที่ดี ๆ

เทวดาท่านรักสวยรักงามรักความสะอาด และถ้าสะอาดกายสะอาดใจด้วยยิ่งดี  ต้องขยันสวดมนต์ ฟังธรรมประพฤติธรรมตามกาล  เพราะว่าเทวดาก็ต้องการสร้างบารมีเพื่่อที่จะออกจากสังสารวัฏ  เมื่อท่านได้มาสร้างบารมีกับเรา  ท่านก็จะมีพลังที่จะช่วยเราได้ในกรณีที่เราเดือดร้อนกายและใจ  ถ้าเราศรัทธาท่านด้วยใจจริง เพียงแค่นึกถึงท่าน ๆ  ก็สามารถช่วยคลี่คลายปัญหาจากหนักให้เป็นเบาได้

มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับลูกชายฉัน เมื่อปีที่แล้วเขาไปเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่ลอสแอลเจลิส  วันหนึ่งในเวลาเช้าได้มีแม่พระปฐพีมาบอกกับฉันว่า ให้บอกกับลูกชายว่า อย่าออกนอกบ้านตั้งแต่บ่ายวันนี้ จนถึงเที่ยงคืน ไปโรงเรียนแล้วให้ตรงกลับที่พักทันที ลูกชายฉันก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  คือหลังเลิกเรียนแล้วก็กลับบ้าน  เขาอยูู่ที่พักจนถึงสี่ทุ่ม ในที่สุดก้เกิดเรื่องจนได้ ทั้ง ๆ ที่ระวังแล้วน่ะ อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด ไม่มีใครบังคับบัญชาได้  เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม ที่ได้กระทำไว้แล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิด ก็ไม่มีใครห้ามไว้ได้  แต่ก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้  นี่หากว่าแม่พระปฐพีไม่ได้มาบอกเตือนล่วงหน้าก่อน  ลูกชายฉันคงจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก ตามที่เขานัดกันไว้แล้ว  เขาก็อาจจะได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้  เหตุเกิดกับเขาในค่ำวันนั้น ก็คือว่าอยู่ดี ๆ  ก็เดินไปสะดุดกีต้าและสายเอ็นมันบาดนิ้วเท้า บาดลึกพอสมควรมีเลือดออกมาก  แต่ก็ยังนับว่าเป็น "โชคดีในโชคร้าย" ยังไม่ถึงกับแย่มาก

การปฏิบัติต่อแม่ปฐพีหรือแมธรณี ควรกระทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ท่านคงสงสัยว่าทำอย่างไรดี....ทำง่าย ๆ จ๊ะ เช่น เวลาจะมีการเลี้ยงพระทำบุญที่บ้าน, จัดสังสรรค์กับคนอื่นในบ้านหรือในบริเวณบ้าน  ควรบอกกล่าวให้แม่พระธรณีที่บ้านทราบก่อน จะเป็นการดีและจะไม่เกิดอุปสรรคใด ๆ .... เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ควรบอกกล่าวขอบารมีแม่พระปฐพี ช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตราย หรือว่าเวลาจะไปสมัครงาน  ก็ขอแม่พระธรณีของสถานที่นั้นช่วย  ขอให้ได้เข้าทำงาน นี่ก็แล้วแต่จะพูดกล่าวกันเอง  บางคนพูดคุยกับเทวดาเก่ง  เพราะพูดกันเป็นประจำทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นตัวตนเลย แต่ความเชื่อมีผลนะคะ  เพราะเทวดาท่านเห็นเรา ท่านได้ยินเราพูด  เราทำอะไรไม่ดีไว้  คนอื่นไม่เห็นแต่เทวดาเห็นหมด แม้แต่คิดท่านก็รู้ว่าเราคิดดีหรือคิดร้ายด้วย เห็นมั็ยค่ะ แค่คิดไม่ดีก็ขาดทุนแล้ว  เราท่านทั้งหลายยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูงในชาตินี้และอีกหลาย ๆ ชาติอย่างแน่นอน  เพราะเหตุว่าพระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ต้องใช้เวลาการศึกษาแบบต่อเนื่องหลายภพหลายชาติจึงจะสำเร็จได้  การที่จะบรรลุธรรมแค่ขั้นพระโสดาบันก็ยากยิ่งนัก

เพราะฉะนั้น  เราก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยพึ่งพาบารมีเทวดาบ้างในบางกรณี  เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลไปก่อน จนกว่าจิตของเราจะได้รับการฝึกอบรมขัดเกลา จนเกิดสติปัญญาสามารถเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ ถึงกระนั้นบางครั้งเราก็ยังต้องการให้เทวดาคุ้มครองภยันตรายให้เราเหมือนกัน  จะได้อุ่นใจ ไปไหนคนเดียวก็นึกถึงเทวดาก็ปลอดภัยขั้นหนึ่งเรา นี่ก็เป็นแค่กำลังใจเท่านั้น  แต่จริง ๆ แล้วไม่มีใครใหญ่เกินกรรมไปได้หรอก......ทางที่ดีที่สุดก็พยายามทำแต่กุศลกรรม  สะสมเพื่อเป็นอุปนิสัยต่อไปในภายภาคหน้า จะได้ไม่เสียชาติเกิด  การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีหาดีไม่ได้  น่าอับอายเทวดา  อย่ามัวแต่มุ่งมั่นในเรื่องสะสมทรัพย์ทางโลก จนลืมสะสมอริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์ที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ....อย่าหลงตัวจนลืมตาย  อย่าหลงกายจนลืม !!  .......สำหรับเรื่องนี้ก็จะขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะคะ  แล้วพบกันอีกจ๊ะ.

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕

ภาพถ่ายคนั้งแรก
ในโลกมนุษย์เรานี้  มีเรื่องแปลกแต่จริงสารพัด  เชื่อว่าท่านทั้งหลายต่างก็คงจะเคยสัมผัสกันมาแล้ว  และแต่ละท่านก็คงจะได้พบ ได้เห็นความมหัศจรรย์ ความเร้นลับลึกลับในโลกวิญญาณหรือที่เรียกอีกชื่อหนึงว่าโลกลี้ลับ ก็แล้วแต่จะตั้งชื่อให้น่าอ่าน น่าฟังแตกต่างกันไปตามความวิจิตรของจิต  เรื่องของโลกวิญญาณนี้เป็นโลกที่มีจริง ในพระไตรปิฏกได้กล่าวไว้ เกี่ยวกับเรื่องภูมิ  ๓๑  ได้แก่  อบายภูมิ ๔, มนุษย์ภูมิ ๑, สวรรค์ภูมิ ๖, รูปภูมิ ๑๖, อรูปภูมิ ๔  ในอรูปภูมินี้มีแต่จิตคือมีแต่นามไม่มีรูป  จึงเป็นภูมิที่ไม่สามารถเจริญสติปักฐานได้ ไม่สามารถที่จะเจริญปัญญาได้เลย

สำหรับในโลกวิญญาณที่ฉันจะนำมาเล่านี้  เป็นวิญญาณในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เหมือนภูมิมนุษย์  ซึ่งจัดว่ายังอยู่ในกามาวจรภูมิ  คือเป็นภูมิที่มีจิตติดข้องยินดีพอใจเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย (เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) หมายถึงเทวดาในสวรรค์ภูมิ  เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องความปาฏิหาริย์ของเสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕  ท่านได้แสดงให้เห็นความมีอิทธิฤทธิ์ของท่าน

ภาพถ่ายครั้งที่ ๒
มีอยู่วันหนึ่งฉันได้โทรศัพท์มือถือใหม่ (ของเก่าของลูกชาย) ฉันก็นึกอยากจะถ่ายรูปเสด็จพ่อไว้ในโทรศัพท์  จึงได้ขออนุญาตท่านแล้วจึงถ่าย  พอถ่ายเสร็จก็เปิดดูภาพ  ปรากฏว่าภาพเป็นสีดำหมดเลย ตกใจคิดว่าถ่ายไม่ติด แต่พอพิจารณาดูจริง ๆ  ถ่ายติดเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่ภาพชุดเต็มยศที่ฉันต้องการถ่าย กลับกลายเป็นภาพคู่ซึ่งดูแล้วก็ใช่ภาพของท่าน  มีรูปผู้หญิงยืนอยู่ข้าง ๆ ท่าน เห็นเป็นรูปผู้หญิงโบราณ  ท่านผู้อ่านลองคลิกภาพขยายใหญ่ดูนะคะ  แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าเป็นภาพของใคร  ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริง จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟัง

มีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของเสด็จพ่อเช่นกัน  เสด็จพ่อมาปรากฏให้ลูกสาวเห็นเป็นคนยืนยิ้มให้  ท่านมายืนยิ้มอยู่ที่โต๊ะทำงานของสามีฉัน  ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นราว ๆ  ๕ โมงเย็น ลูกสาวตอนนั้นเขาเรียนอยู่ ป.๕ เขาบอกฉันว่า "มีผู้ชายคนหนึ่งมีหนวดหน้าผากสูง มีผมนิดหน่อย เป็นคนไทย เขายืนยิ้มให้ ไม่รู้ว่ามาทำไม มาได้ยังไงก็ไม่รู้" ฉันได้บอกลูกสาวให้พาไปดูซิว่ามายืนอยู่ตรงไหน เผื่อแม่จะเห็นบ้าง  เขาก็พาฉันเข้าไปในห้องทำงานของสามีฉันแล้วชี้ตรงที่เขาเห็น  ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อว่าเขาเห็นเสด็จพ่อจริง ๆ  พอเข้าไปในห้องทำงาน  เหลือบไปเห็นรูปของเสด็จพ่อตั้งอยู่ที่บนหลังตู้  จึงได้เชื่อว่าเป็นเสด็จพ่อแน่นอนเลย  ฉันจึงได้บอกกับลูกว่า ที่เห็นนั้นก็คือพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๕  ท่านสวรรคตไปแล้ว ท่านได้ไปเกิดเป็นเทวดา  ลูกฉันเขาบอกว่า ท่านมีหน้าตาเหมือนในรูปนั่นแหละและท่านยังยิ้มให้ด้วย  ฉันก็เลยเล่าแถมอีกหน่อย  เกี่ยวกับพระปรีชาสามารถของพระองค์ให้ลูกฟัง ว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถเป็นพิเศษ สมัยที่ท่านเป็นกษัตริย์  ท่านได้เป็นผู้ประกาศการเลิกทาส มีการส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของประชาชน  เป็นผู้ประกาศให้ประชาชนมีนามสกุลใช้เป็นครั้งแรก เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก  ท่านเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทยมาจนถึงทุกวันนี้  จึงได้ฉายานามว่า "พระปิยะมหาราช" ลูกสาวก็สนใจฟังและฉันก็ได้อธิบายต่ออีกว่า ที่ท่านมาปรากฏให้เห็นเป็นเหมือนคนนั่นน่ะ  คนที่ได้เห็นท่านก็แสดงว่าเป็นคนโชคดีเพราะท่านไม่ได้มาปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ   แม่เองก็ยังไม่โชคดีที่จะได้เห็นท่านเช่นนั้น

การที่จะได้เกิดเป็นเทวดานั้น  จะต้องเป็นผลของความดีเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์  คือตอนมีชีวิตอยู่  ก็มีการทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมตามเวลาอันสมควรอยู่เนื่อง ๆ  ตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ๆ  ก็มีหลายระดับหลายชั้น จะได้เป็นเทวดาอยู่ชั้นไหนนั้น ขึ้นอยู่ที่กำลังของบุญกุศลที่ได้สะสมมา  เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ ท่านสร้างบุญบารมีไว้เยอะมาก  จึงได้เกิดเป็นเทวดาในชั้นสูงและมีอิทธิฤทธิ์มาก ท่านคอยช่วยเหลือคุ้มครองลูกหลานและประเทศชาติให้รอดพ้นจากความหายนะและภยันตรายทั้งปวง ถ้าผู้ใดเคารพบูชาท่าน  เวลามีความทุกข์  มีความเดือดร้อนหรือมประสบภัยต่าง ๆ  เมื่อจิตระลึกถึงท่านด้วยความศรัทธา ก็จะรอดปลอดภัยได้อย่างอัศจรรย์  

ในโอกาสนี้  ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายบังคมแด่พระปิยะมหาราชเจ้า  อานิสงส์จากบุญกุศลใด ๆ ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนั้น รวมทั้งอานิสงส์จากการเขียนบทความนี้ เพื่อเผยแพร่บารมีของพระองค์ ขอน้อมถวายเพื่อเป็นการบูชาพระคุณของพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ