วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทวดาร่วมลอยกระทง


สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน......หวังว่าทุกท่านก็คงได้ลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคากันในวันลอยกระทง ที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้เหมือนกันนะคะ....ที่เมืองไทยก็คงจะลอยกันไปอีกแบบ  เพราะยังอยู่ในสภาวะอุทกภัยพิบัติอยู่  ฉันก็ขอเอาใจช่วย ขอให้รัฐบาลใหม่แก้ไขปัญหามหาภัยพิบัตินี้  ผ่านไปได้ด้วยดีในเร็ว  ๆ  นี้เถิด  พี่น้องชาวไทยจะได้มีความเป็นอยู่  เข้าสภาพปกติสุขกันซะที  เพราะลำบากกันมานานแล้ว....เรื่องของธรรมชาติหรือเรื่องของธรรมะก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้  ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป  แต่เราก็ต้องพยายามหาวิธีดับที่เหตุ (สมุทัย) แล้วปัญหาก็จะคลี่คลายลงได้ จนในที่สุดก็จะดับสิ้นได้....นี่ฉันก็ว่ากันไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  วิธีการแก้ปัญหาก็แล้วแต่ ๆ ละบุคคลจะมีกำลังปัญญามากน้อยแค่ไหน

เรามาพูดถึงเรื่องลอยกระทงกันดีกว่านะ  เออ...เพิ่งนึกได้ว่าลืมอะไรหนอ  ในวันลอยกระทงฉันลืมสนิทเลยนะ  ทุก ๆ ปีเราจะมีการเปิดเพลงลอยกระทงด้วยล่ะ  แต่ปีนี้นึกไม่ออกเลย.....ตอนดึก ๆ ก็จะมีเทวดามาร้องเพลงกันน่าฟังมากเลย  วันหลังจะเอาเพลงของเทวดามาเข้าเว็บให้ท่านผู้อ่านฟังกัน  เพื่อเป็นบุญแก่โสต  ตอนนี้ยังไม่รู้วิธีการเอาเสียงเข้าเว็บ  ต้องรอศึกษาก่อนจ๊ะ  การศึกษาของฉันก็คือใช้วิธีงมโข่งเอา  งมไปงมมาเดี๋ยวก็เจอดีเองแหละ  อดใจรอก่อนนะจ๊ะ  อย่าเพิ่งหนีกันนะ  คอยติดตามกันต่อไป  แล้วจะได้ฟังเสียงเทวดา

.....วันลอยกระทงที่ฉันจะนำมาเล่าสู่ฟังนี่  ก็ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก  เราลอยกันในครอบครัวเป็นประจำทุกปี  กระทงก็ทำกันเอง  เป็นกระทงที่มาตรฐานมาก คือไม่มีการทำใหม่ทุกปี  ทำตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๖ ก็ใช้ลอยกันทุกปี  จนถึงปีนี้ก็ยังดูดีอยู่นะ  ในรูปถ่ายมองไม่เห็นน้ำเลย  เพราะว่าเราไม่ได้เปิดไฟในสวน ต้องการให้เป็นบรรยากาศธรรมชาติจริง ๆ  เราลอยกระทงในสระปลาเล็ก ๆ  (ปลาคงตื่นเต้นตาม ๆ กัน) กระทงเต็มสระพอดี....ก่อนลอยกระทงก็มีพิธีนิดหน่อย  ให้ทุกคนจุดธูปขอขมาพระแม่คงคาที่ได้ทำน้ำสกปรกและขอบคุณท่านที่เราได้มีน้ำบิโภคกันมาตั้งแต่เกิดจนถึงทุกวันนี้  จากนั้นเริ่มก็จะเชิญกระทงประธานใหญ่ลงก่อน  กระทงใหญ่นี้เป็นกระทงของครูบาอาจารย์  เพราะสถานที่บ้านนี้  เป็นสถานที่ตั้งของสมาคมไทย - กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์ด้วย  ดังนั้นเวลาเราจะทำอะไร  ก็จะต้องให้เกียรติแก่ครูบาอาจารย์ด้วย

วันนี้ตั้งใจจะถ่ายรูปกระทงไว้ดูบ้าง  อยากดูว่าเมื่อลอยอยู่ในน้ำจะสวยสักแค่ไหน  จึงได้ให้ลูกชายลองปรับกล้องให้  เขาก็ได้ลองกล้องถ่ายภาพในที่มืด ๆ ดู  ส่วนภาพกระทงนั้นฝีมือฉันเองนะ  คิดว่าสวยพอสมควร.....ท่านผู้อ่านอาจจะว่าไม่สวยก็ได้  เราไม่ว่ากันจ๊ะ  เพราะจิตคือธรรมชาติที่วิจิตร จึงเห็นเป็นอย่างอื่น แล้วแต่ความวิจิตรของจิตของแต่ละคน.....เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว  ฉันก็ยังไม่ได้ดูรูปว่าสวยมากน้อยแค่ไหน  เก็บไว้ตั้งสองวัน  เมื่อวานนี้้เป็นวันเสาร์ นึกได้ว่ายังไม่ได้เอารูปเข้าคอมพิวเตอร์  พอเอาเข้าคอมฯ ก็เกิดอาการขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัวขณะที่เห็นภาพ  คือในภาพนั้น  ที่หน้าศาลาไม้ซึ่งเป็นที่ประทับพระพุทธรูป (หลวงพ่อใหญ่ปัญญาสิริ) มีดวงไฟหลากหลายเต็มไปหมด มีทั้งที่มีรัศมีเป็นฉายแสงจ้าและไม่จ้า บางดวงมีวงแหวนซ้อนกันสามวงมีสีสรรสวยงามน่าชมมาก ความงามของแต่ละดวงก็แล้วแต่กำลังบารมี   ถ้าขยายภาพใหญ่  ก็จะเห็นความวิจิตรของดวงไฟแต่ละดวงว่ามีความวิจิตรแตกต่างกัน

ท่านผู้อ่านลองใช้เมาส์  ชี้ที่ดวงไฟนั้นแล้วเลื่อนปุ่มของเมาส์ลงไปข้างหน้าช้า ๆ ภาพจะขยายใหญ่ขึ้น  ก็จะได้ชมความงามของดวงไฟแต่ละดวง.....ท่านที่สามารถสื่อกับวิญญาณ  ได้ก็จะทราบได้ว่าดวงไฟในภาพนี้คืออะไรกันแน่....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะปลูกฝัง ให้ท่านผู้อ่านเชื่อแบบงมง่ายไร้เหตุผล  เรื่องเช่นนี้เป็นปัจจัตตัง  แล้วแต่ท่านจะพิจารณาไตร่ตรองกันเอง  อยากจะรู้ว่าเทวดาหรือวิญญาณมีจริงหรือไม่  ก็ต้องฝึกจิตให้มีพลังในระดับเดียวกับเทวดาหรือวิญญาณ จึงจะสามารถสื่อติดต่อกันได้  และเมื่อนั้นท่านก็จะหายสงสัยในเรื่องโลกวิญญาณ....ทุกท่านมีจิตที่มีพลังอยู่แล้วโดยธรรมชาติ  แต่ถูกใช้ไปทุกขณะโดยไม่ได้เติมให้มีพลังอยู่สม่ำเสมอ และพลังส่วนมากจะเป็นพลังลบ  จึงไม่สามารถที่จะใช้สื่อติดต่อกับโลกทิพย์หรือโลกวิญญาณได้  มีวิธีเดียวต้องสะสมความสงบเสียก่อน  คือสงบจากอกุศลทั้งปวง  ด้วยการเจริญสมาธิอยู่เนือง ๆ  อย่างต่อเนื่อง  เมื่อจิตมีพลังเต็มที่แล้ว  ผลพลอยได้พิเศษสุดก็คือ ท่านสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา  ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อให้เกิดปัญญาสามารถประหารกิเลสได้ด้วย....อย่างอื่นไม่สามารถประหารกิเลสได้เลย  นอกจาก "ปัญญา"  เท่านั้นที่จะจัดการกับกิเลสให้ลดลงตามขั้นของปัญญาได้  จนถึงขั้นเป็นสมุจเฉทประหาร  ซึ่งเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางแห่งมรรคมีองค์ ๘  ต้องอบรมเจริญตั้งแต่เริ่มสะสมปัญญาในขั้นต้นตามลำดับ ด้วยการฟังและศึกษาพิจารณาพระธรรมสะสมความเข้าใจ (ปัญญา) เพื่อเป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตให้เกิดปัญญาเพิ่มขึ้นที่ละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงขั้นบรรลุเป็นอริยบุคคล  สามารถละกิเลสได้ตามละดับของปัญญา  และท่านก็จะเห็นคุณค่าของการอบรมเจริญสมาธิเป็นขั้นพื้นฐาน  เพื่อที่จะได้เจริญปัญญา.....ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่าน ที่ยังไม่เคยอบรมเจริญสมาธิ  ให้เริ่มฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็จะดีสำหรับจิตที่ยังฟุ้งซ่านอยู่  ให้มีพลังบวก  ถ้าท่านสนใจที่จะฝึก ก็เชิญอ่านได้ที่ "บล็อกพลังจิต" ได้ค่ะ ......สำหรับบทความเรื่องลอยกระทงก็ขอยุติเพียงแค่นี้........ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านบทความมาโดยตลอด.....แล้วพบกันอีกในบทความใหม่จ๊ะ