วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหลงทาง

เมื่อวานนี้ฉันได้ไปงานขึ้นบ้านใหม่ของญาติสามี  เราไปกันทั้งครอบครัว  บ้านญาติคนนี้อยู่ที่เมือง
ซูริค ใช้เวลาจากบ้านไปถึงสถานีรถไฟที่ซูริคประมาณ  ๓๐ นาที ต่อรถไฟอีกขบวนสั้น ๆ  ราว ๑๐ นาที  ขบวนนี้จะไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว  เขาเขียนป้ายว่า "ให้ผู้โดยสารตรวจตั๋วกันเอง"  คือซื่อสัตย์ต่อกฏระเบียบ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ เกิดโชคร้ายมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจพบ ไม่มีตั๋วรถไฟ ก็จะโดนปรับ ๑๐๐ สวิสฟรังค์  ที่ไม่มีการตรวจตั๋วเพราะว่าเป็นย่านของพวกคนรวย  เป็นพื้นที่ตั้งอยู่บนภูเขาและอยู่ติดกับทะเลสาบ  วิวสวยมาก  อยากจะถ่ายรูป  แต่รถไฟแล่นเร็วมาก ๆ  เวลาจอดก็จอดแค่ ๑-๒ นาที  ก็รีบไปแล้

คนเป็นโรคหัวใจหรือโรคจิตโรคประสาท  ฉันคิดว่าคงไม่เหมาะที่จะเดินทางโดยรถไฟที่นั่นหรอก  เพราะต้องรีบขึ้นรีบลงอย่างรวดเร็ว เผลอ ๆ ขึ้นรถผิดขบวนอีก  ฉันยังไม่เคยขึ้นผิดขบวนหรอกนะ  แต่ว่า..ขึ้นถูกแล้วรีบลงอย่างรวดเร็ว  เพราะคิดว่าขึ้นผิด เลยทำให้เสียเวลาต้องรอไปเกือบชั่วโมง

ท่านผู้อ่านก็คงจะเจอเหมือน ๆ กันนั่นแหละ เรื่องขึ้นรถไฟผิดขบวนนี่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้เดินทางโดยรถไฟ จริงมั้ยคะ หรือบางคนก็อาจจะได้รับการอบรมฝึกจิตมาอย่างดี จิตก็สามารถทำงานได้ถูกต้อง หรือว่าทำผิดน้อยลง  แต่ก็มีบางคนยังไม่คิดอยากจะออกจากความมืดบอด หรือความหลง (ความหลงอวิชชา คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่ง ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)  ยังคิดจะเอาดีเอาเด่นทางโลกอยู่  ก็หลงต่อไป หารู้ไม่ว่าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลิศประเสริฐเท่า "พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"  ไม่มีวิชาใดในโลกนี้ยากยิ่งกว่า "พระอภิธรรม"  ธรรมะเป็นของสูงเป็นของผู้มีบุญบารมี ที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติบางก่อน  ชาตินี้จึงได้มีโอกาสฟังและได้ศึกษา  เพื่อสั่งสมความเข้าใจ  อันจะเป็นปัจจัยให้เกิดสติ และปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลาย  เอาล่ะ..ฉันก็เกริ่นมาซะยืดยาว ทีนี้กลับเข้าเรื่องดีกว่านะ

เรื่อง " หลงทาง" นี่ก็ไม่ถึงกับแย่มาก  แต่มันก็เป็นปัจจัยให้มีเรื่องอะไรที่แปลก ๆ  มาเล่าสู่กันฟัง คำว่า "หลง" คือการเผลอ  สติไม่อยู่กับ "กายกับใจ"  จิตไปมัวเกาะเกี่ยวยึดอยู่กับสิ่งภายนอก  เมื่อจิตอยู่นอกกายใจ  ก็จะไม่มีฐานให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ขณะปัจจุบันได้..... เมื่อวานฉันได้โดน "หลง" มันเล่นงานสนุกไปเลย.....เรื่องมีอยู่ว่า  หลังจากที่เราได้รับประทานอาหารกลางวัน ร่วมกันในวงญาติพี่น้องเสริ็จ  เรียบร้อยแล้ว  เราก็ได้ไปเดินย่อยอาหารกัน ไปทั้งหมด ๑๐ คน เดินกันเป็นกลุ่ม ๆ  ไปเดินบนภูเขาเป็นป่าร่มรื่น  อากาศเย็นสบาย มีเสียงนกร้องเพลงบ้าง คุยกันบ้าง เสียงลมพัดอ่อน ๆ มากระทบกายเย็นสดชื่นเป็นระยะ ๆ เสียงน้ำตก เสียงน้ำไหลเป็นเหมือนเสียงสวรรค์บันดาล รู้สึกจิตมันก็หลงดีจัง จิตเขาก็ปรุงแต่งสารพัดเรื่อง เห็นภาพสวย ๆ ก็ยินดีพอใจที่จะถ่ายภาพ

มีญาติอีกคนก็ชอบหลงใหล ในการถ่ายภาพธรรมชาติเหมือนฉัน ในที่สุดเราก็หลงทาง  โชคดีมีแฟนเขาอยู่ร่วมทางด้วย  ส่วนคนอื่นเขาก็ชมนกชมธรรมชาติ จนลืมหันมาดูพวกเรา  ซึ่งกำลังเพลินกับการถ่ายภาพน้ำตกอยู่  พวกเราก็ปลอบใจตัวเองว่า  ยังไง ๆ เราก็จะต้องไปถึงบ้านก่อนค่ำอย่างแน่นอน  เดินไปเรื่อย ๆ  จนถึงทางสามแพร่ง  มีป้ายบอกทางไว้  เราก็เลือกป้ายชื่อของหมู่บ้านที่เราจะไป  ซึ่งเป็นทางสวยงามขนานไปกับลำน้ำ  เดินไปสักหน่อยก็เจอน้ำตกอีก  ก็หยุดชมน้ำตก  ทันใดนั้นได้มีเสียงโทรศัพท์จากญาติ โทรมาถามญาติอีกคนว่า "พวกเธออยู่ที่ไหนกัน" ญาติตอบ "พวกฉันอยู่ตรงน้ำตก " อีกคนถาม "น้ำตกไหนล่ะ ที่นี่มีตั้งหลายน้ำตก"  พวกเราก็เลยตะโกนดัง ๆ ออกไปว่า " น้ำตกใกล้ ๆ ที่ปิคนิค พวกเธอไม่ต้องห่วงนะ พวกฉันกลับบ้านเองได้" พอพูดเสร็จปิดโทรศัพท์แล้ว ก็เดินกันต่อไป  เดินต่อไปอีกระยะ  ก็เจอม้านั่งสำหรับชมธารน้ำ ฉันก็เลยชวนพวกเขานั่งพักเหนื่อยกันหน่อย  ฉันรู้ด้วยจิต ว่าสามีฉันกำลังเป็นห่วงฉันมาก  เพราะว่าเท้าฉันไม่ค่อยจะดี  เพิ่งจะเดินได้เป็นปกติ เขาคงคิดว่าฉันอาจจะมีปัญหาเรื่องเท้าอีก

นั่งกันยังไม่ถึงห้านาที กำลังคุยกันสนุก ๆ  หูก็แว๊บไปได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา หันไปดู  ตกใจตาม ๆ กัน สามีและญาติมาตามเจอ  "ทำไมมาเร็วจัง" พวกเราถามด้วยความสงสัย  สามีมามากับญาติ พอมาถึงก็พูดว่า "ฉันไม่ห่วงเธอสองคนหรอกนะ ฉันห่วงภรรยาฉัน" พอพูดจบ ก็จับแขนฉันแน่นเชียว บอกว่า" ปล่อยเดินคนเดียวไม่ได้ ไม่ไวใจ ทีนี่ต้องจับแขนไว้ เหมือนนักโทษ" พวกเราก็ขำกันตลอดทาง.....ทางที่เขาพากลับบ้านนั้น มันคนละป้ายที่จะไปหมู่บ้าน แต่เป็นทางลัด เราไม่รู้กันว่ามันเป็นทางลัด  เราจึงไม่เลือกทางนี้ เป็นอันว่า เราก็โดนป้ายมันหลอก ให้หลงทางจนเหนื่อยตาม ๆ กัน  เขาตั้งใจว่าจะพาพวกเราไปดูทำพิธีแต่งงานในโบสถ์  ก็มัวแต่ไปหลงทาง เลยไปไม่ทันเห็นพิธีแต่งงาน  แต่ฉันก็ได้เข้าไปในโบสถ์  ไปเยี่ยมพระเยซูและพระแม่มาเรีย ได้ทำสมาธิถวายท่านด้วยนะ เราอาศัยแผ่นดินของศาสนาคริสอยู่  เราก็ควรให้ความเคารพท่านด้วย  ตามโอกาส เพราะท่านจะได้คุ้มครองเราให้รอดจากภยันตรายต่าง ๆ ด้วย   
 
วันนั้นทั้งวันได้เจอแต่กุศลวิบากทางตาเยอะมาก เช่น ได้เห็นทะเลสาบสวย ๆ เห็นน้ำตก นก ปลาสวย ๆ  ป่าเขาสวย ๆ  ทางหูก็ได้ยินเสียงนก เสียงน้ำตกน้ำไหล ทางลิ้นก็ได้ลิ้มรสอาหารอร่อย ๆ  ส่วนวิบากทางฝ่ายอกุศลก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ มันเกิดมากกว่าฝ่ายกุศลซะอีก....ก็มีเรื่องตลก ๆ จะเล่าให้ฟังจ๊ะ  งานสังสรรค์วันนี้ เจ้าภาพเข้าทำอากหารพวกเนื้อสัตว์ย่างกินกับพวกถั่วต้มและสลัดผัก ท้องฉันมันไม่ชินกับอาหารประเภทถั่วหลายชนิดรวมกัน ตอนกลับบ้านก็เลยต้องเจออกุศลวิบากหนักในรถไฟ  เพราะว่าอาหารฝรั่งเป็นเหตุปัจจัย  ธรรมะปรากฏแล้วทำไงได้ล่ะ  ทุกอย่างเป็นอนัตตา..... พอขึ้นไปนั่งในรถไฟสักครู่ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับฉันเอง บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้ตั้งใจเลยนะ แต่มันต้องเกิดบังคับบัญชาไม่ได้เลย  แค่ขยับก้นนิดเดียวเท่านั้น เล่นเอาคนนั่งข้าง ๆ  สามคนเผ่นหนีหมด ตอนแรก ๆ ทุกคนก็แปลกใจ ว่าได้กลิ่นอะไรนะ ทำไมถึงเหม็นแปลก ๆ  รู้สึกจะเหม็นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ขยับครั้งที่สองเลยนะ แต่พิษสงเยอะจัง คนที่นั่งแถวนั้นลุกหนีหมดเลย

ครั้นจะหนีก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะตามไปด้วย  เลยต้องนั่งรอจนกลิ่นมันหมดฤทธิ์ไปเอง  พูดถึงวิบากนี่น่ะเกิดแล้วก็ดับไป แต่ถ้าจิตคิดเกิดขึ้น  ก็จะเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เป็นปัจจับให้เกิดกุศลวิบากและอกุศลวิบาก   ต่อไป  สำหรับเรื่องหลงนี้  คิดว่าคงพอที่จะเป็นเรื่องเตือนใจ  ให้ทุกท่านได้พยายามฝึกอบรม เจริญสติอยู่เนื่อง ๆ   เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันภัย และคุ้มครองชีวิตให้ปลอดภัยได้ ถ้าขาดสติก็หลงซ้อนหลงนั่นแหละ....หลงก็เป็นธรรมะจ๊ะ

                                             
                                                  ..........................................