วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฤทธิ์กุมารทอง

เรื่องเกี่ยวกับกุมารต่าง ๆ  นี้  ฉันเองไม่เคยคิด  ที่จะมีไว้บูชาในบ้านหรอกนะ  แต่ที่ต้องมีก็เพราะมีเรื่องแปลกแต่จริงอีกนั่นแหละ  เป็นเหตุให้ต้องมีไว้ในบ้าน  ฉันเคยได้ยินสรรพคุณของกุมารต่าง ๆ จากคนที่เขานิยมมีไว้บูชากันว่า กุมารทั้งหลายนี้เก่งสารพัด  ถ้าเลี้ยงเขาดี ๆ ให้กินขนมให้เสื้อผ้าสวย ๆ งาม ๆ แก่เขา ๆ ก็จะให้โชคลาภได้ดังใจ  กุมารเหล่านี้เป็นวิญญาณพวกเด็ก ๆ  ที่ไม่มีที่อยู่หรืออยู่ที่ป่าช้า  เวลาผู้มีวิชาเขาทำกุมาร  เขาก็จะเชิญวิญญาณเด็ก ๆ  มาอยู่ในรูปปั้น  ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นเหมือนเด็ก ๆ  แล้วก็ตั้งชื่อให้แตกต่างกันไปตามสรรพคุณ  บางคนก็มีไว้บูชาสารพัดกุมาร  เพราะมีความเชื่อว่ากุมารทำให้มีโชคลาภได้สารพัด นี่ก็เป็นเรื่องของความเชื่อแตกต่างกันไป  เป็นเรื่องของนานาจิตตัง

ถ้าพูดกันตามหลักธรรมะแล้ว  ทุกอย่างเกิดขึ้นจากเหตุ  ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เกิดขึ้นเอง  โดยไม่มีเหตุปัจจัยเลย  การที่จะมีงานมีเงินทองร่ำรวย  หรือยากจนแสนเข็ญ ก็ล้วนเป็นผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งนั้น  เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ  แต่ละชาติก็มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้แล้ว  กรรมบางอย่างส่งผลในชาตินี้ เร็วบ้างช้าบ้าง  กรรมบางอย่างส่งผลในชาติหน้า หรือชาติถัด ๆ ไป แล้วแต่อำนาจของแรงกรรมนั้น ๆ   เมื่อเหตุปัจจัยที่จะทำให้ส่งผลพร้อมแล้ว  ผลของกรรมย่อมปรากฏ โดยที่เราไม่สามารถจะยับยั้งได้  บางคนมีวัตถุมงคลไว้บูชาในบ้านมากมาย หรือพระพุทธรูปมากมาย  ใครว่าดีมีสรรพคุณมากมาย  ราคาแพงเท่าไรไม่อั้น เพราะเชื่อว่ามีไว้แล้วจะช่วยให้ตนดีมีฐานะการงานการเงินดี  หากเขาไม่ทำกรรมดีเทพเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็ ช่วยไม่ได้  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  เลิกบูชาวัตถุมงคลต่าง ๆ  วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่พระเกจิอาจารย์หรือผู้มีวิชาแก่กล้า  ที่ท่านทำแล้วปลุกเสกกันหลายวันหลายคืนด้วยพลังจิตนั้น  ไม่ใช่ของคนธรรมดาทำกันได้  ล้วนเป็นของเหนือคนธรรมดา  สิ่งเหล่านี้เป็นของเสริมบารมีคือ เสริมความดี ให้ผู้ที่นำไปบูชาสร้างแต่กรรมดีเพิ่มขึ้น  ลดละกระทำความชั่ว เมื่อผลกรรมส่งผลก็จะเป็นผลกรรมดีอย่างแน่นอน  ไม่ต้องขอเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้  เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าทันสมัยอยู่เสมอ "ทำดี ย่อมได้ดี  ทำชั่ว ย่อมได้ชั่วตอบแทน"

ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า  ฉันจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่  ทีนี้ก็หันมาเรื่องกุมารตามหัวเรื่องที่ตั้งไว้นะคะ  กุมารทองของฉันก็ไม่ธรรมดานะ  ฉันไม่ได้ไปเช่าหรือบูชามาหรอกนะ  เขามาเอง  หลายปีมาแล้วบ่ายวันหนึ่งประมาณ ๑๖ นาฬิกา  มีวิญญาณเด็กมาบอกว่า  "หนูเป็นกุมารทอง หนูมากับหลวงพ่อแก้ว"  ฉันก็ถามทางจิตว่า "แล้วหลวงพ่อแก้วอยูที่ไหน"  "หลวงพ่ออยู่ที่วัดไทย หนูอยากจะอยู่กับแม่ที่นี่" กุมารน้อยพูดเสียงอ้อน  อยากจะอยู่ที่บ้านฉัน "แล้วจะต้องให้แม่ทำอะไรบ้าง" ฉันถามเพื่อเช็คดูก่อนว่ากุมารนี้มีจุดประสงค์อะไร  ถ้าเรียกร้องอะไรมากมาย ฉันก็จะไล่่ไปให้ไกลทันที  เขาบอกว่า ไม่ต้องการอะไร เพียงอยากจะมาอยู่ด้วย เพราะที่บ้านมีหลวงปู่หลวงพ่อและพระแม่กวนอิมด้วย  เขาอยากจะมาสร้างบารมี อยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์  ไม่อยากเป็นกุมารต่อไปอีก  ฟังดูแล้วรู้สึกมีเหตุผลดี  ฉันก็เลยตอบตกลงจะให้อยู่ด้วย  กุมารน้อยดีใจมากและบอกว่า  ต้องมีหุ่นให้เขาด้วย เขาบอกให้ไปเอาดินที่ใต้ก่อไผ่ข้างบ้าน  ทันใดนั้นก็มีปู่ฤาษีมาสื่อว่า  ให้ไปเอาดินสีเหลือง  ตามที่กุมารบอกเพราะดินตรงนั้นขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับปั้นหุ่นกุมารได้  ฉันก็รีบไปดูที่ใต้ก่อไผ่ทันที  ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้  ปกติดินตรงนั้นเป็นสีดำแต่เกิดมีดินสีเหลืองอ่อน ๆ โผล่ขึ้นมา เป็นดินเหนียวละเอียดอ่อน  ฉันจึงตักเอาดินนั้นมาและ  นึกในใจว่า "เราจะปั้นยังไงดีหนอถึงจะเป็นหุ่นกุมารที่ดูขลังดี"  ปู่ฤาษีบอกว่า "ไม่ยากเลยปู่จัดการเอง" พอพูดจบ ปู่ก็เริ่มปั้นทันที นั่งจับดินขย้ำ ๆ ปบิด ๆ ปี้ ๆ ทำไปทำมาเผลอแป๊ปเดียวเป็นหุ่นกุมารน้อยน่ารักจัง   แถมดูขลังซะด้วยนะ  เสร็จแล้วปู่ฤาษีได้เชิญวิญญาณกุมาร  เข้าไปอยู่ในหุ่นนั้น  แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกให้เสร็จเรียบร้อย

พอเสร็จพิธีปลุกเสกแล้ว  ทีนี้แหละเจ้ากุมารก็เริ่มแสดงฤทธิ์  เขาบอกว่าต้องเรียกเขาว่า "กุมารทอง" ฉันก็บอกว่า "ตกลง  แล้วไงต่อไป"  เขาบอกว่า "ที่วัดไทยมีผู้ชายคนหนึ่งไว้ผมแกะกลางศีรษะ เขามากับคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีหลวงพ่อแก้วมรกตด้วย ไม่เชื่อให้ไปดูได้"  ฉันฟังแล้วก็เกิดความคิดที่อยากจะพิสูจน์ดูว่า กุมารทองนี่พูดจริงหรือเทิ็จ    ถ้าพูดเท็จก็จะไม่คบด้วย  ฉันได้ชวนสามีไปวัดไทย ขณะนั้นที่ในโบสถ์  ยังอยู่่ระหว่างวาดภาพฝาผนัง  มีจิตรกรวาดภาพฝาผนังจากกรมศิลปากร  มาวาดภาพกันหลายคน  ฉันกับสามีก็เดินชมการวาดภาพของพวกเขา  ก็ได้มอง ๆ  ดูแต่ละคนว่ามีผมแกะอยู่บนศีรษะมั้ย  ปรากฏว่าไม่พบเลยสักคน  จึงคิดว่ากุมารทองหลอกเราแน่เลย  กลับไปบ้านจะต้องไปจัดการกับกุมารขี้โกหกตนนี้  จะไม่คบด้วยแล้ว เอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์  บังเอิญตาเหลือบไปเห็น  ผู้ชายหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ  มีผมแกะอยู่กลางกระหม่อม  กำลังวาดภาพ  นั่งอยู่บนร้านตรงประตูทางออกโบสถ์  ร้านที่นั่งวาดภาพ  สูงเกือบจรดเพดาน ตัวคนก็เล็ก ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ ก็จะมองไม่เห็น ตอนเข้าไปแรก ๆ ฉันก็มองไม่เห็นเขา  จวนจะออกจากประตูจึงได้เห็น  ที่แปลกมาก ๆ  คือผู้ชายคนนี้  หน้าตาเหมือนกับกุมารทองด้วย  ปู่ฤาษีได้เรียกให้เขาลงมาข้างล่าง  เขาก็รีบลงมาไหว้ปู่  แล้วปู่ก็สวดเสกลงที่กระหม่อมให้เขา ๆ  ก็นั่งคุกเข่าพนมมือให้ปู่ทำพิธีสวดเสริมพลังให้ด้วยความศรัทธายิ่ง

เป็นอันว่าเจ้ากุมารทองรอดตัวไป  ฉันไม่เลี้ยงกุมาร  ด้วยอาหารและให้ของเล่นหรือเสื้อผ้าอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีประโยชน์แก่เขา  สิ่งที่เขาควรได้และควรทำคือ เวลาฉันสวดมนต์  ภาวนา  ฟังเทศน์ฟังธรรม เขาจะต้องมาร่วมกิจกรรมด้วย  บอกเขาให้รับรู้ตั้งแต่วันแรก จะได้ไม่ต้องเรียกกันทุกครั้ง  ต้องรับผิดชอบเองถ้าอยากจะเกิดเป็นมนุษย์  ก็ต้องเร่งสร้างกุศล  เลิกยึดเลิกติดของที่ไม่มีประโยชน์ เพราะตนไม่ใช่มนุษย์ที่จะสามารถบริโภคสิ่งต่าง ๆได้  เราอยู่กันคนละมิติ ทุกวันนี้กุมารทองเขาก็ยังอยู่ที่บ้านยังต้องสร้างบุญกุศลให้ถึงพร้อมก่่อน  เพื่อจะได้เกิดในภพที่ดีกว่าเดิม

ฉันมาทราบภายหลังว่า  ก่อนหน้าที่กุมารทองจะมาหาฉัน ลูกสาวของฉันได้ไปเที่ยวที่วัดกับแฟนเขา  และได้เข้าไปในโบสถ์ด้วย  เจ้ากุมารก็เลยถือโอกาสตามมา  แล้ววันรุ่งขึ้นลูกสาวฉันมาเยี่ยมบ้าาน  พอลูกสาวฉันกลับบ้าน  เจ้ากุมารทองไม่ไปด้วย  อยากจะอยู่กับฉัน

เรื่องกุมารทองที่ฉันเล่ามานี้  ก็คงจะพอเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านได้บ้างนะคะ  ที่จริงแล้วเทพเทวดาและวิญญาณทั้งหลาย  เขาอยู่คนละภพกับเรา  เขาไม่ต้องการบริโภคอะไรอีกแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์มากกับพวกเขาก็คือ "บุญ"  ให้อุทิศบุญกุศลให้เขา  จะดีกว่าการให้สิ่งของหรืออาหาร สวดมนต์ภาวนา ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล แล้วก็อุทิศส่วนกุศล  ให้เขาได้ร่วมอนุโมทนาด้วย นับว่าเป็นการกระทำทีดีทั้งสองฝ่าย เป็นความเชื่อที่มีเหตุผลด้วยจ้ะ แต่ถ้าใครไม่ใจแข็งพอที่จะให้กุมารน้อยของตนอดอาหาร แล้วให้กินอาหารทิพย์แทน จะให้กินเหมือนเดิมก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมเขาก็แล้วกัน....เรื่องนี้ก็ขอจบเพียงแค่นี้จ๊ะ.....พบกันอีกในบทความใหม่นะคะ