วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

งานวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ มิถุนาที่ผ่านมานี้  ฉันได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดศรีนครินทร์ฯ งานทำบุญฉลองครบรอบ ๑๕ ปี การก่อตั้งวัดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  มีเรื่องแปลกจะเล่าสู่กันฟังค่ะ จะว่าแปลกก็แปลก ถ้าจะมองคนละมุมก็ไม่แปลก คือถ้ามองเป็นธรรมะ    ก็จะไม่มีอะไรแปลกเลย เพราะแต่ละอย่างที่เกิดแล้วปรากฏ ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เรามามองกันแบบปุถุชนที่ยังหลงอยู่ในโลกธรรม เราก็จะเห็นความแปลกหลายอย่าง

ฉันไม่ตั้งใจจะไปทำบุญหรอกนะ  แต่สามีเขาอยากจะไป เพื่อพบคนเก่าแก่ที่เคยร่วมกันทำงาน สมัยเริ่มก่อสร้างวัดใหม่ เพราะสามีฉันเคยเป็นสถาปนิกออกแบบวัดถวาย  และช่วยงานหลายรูปแบบ  โดยไม่หวังค่าเสียเวลาหรือค่าเหนื่อยเลย  เขาเป็นผู้กระตือรือล้นในการก่อสร้างวัดมาก  เป็นผู้หาที่ดินผื้นนี้พบและวิ่งเต้นติดต่อ  เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมาคมวัดไทยและมูลนิธีสมเด็จย่าเพื่อวัดไทย วิ่งเต้นขอวีซ่าสำหรับพระสงฆ์และลูกศิษย์รุ่นแรก สำหรับมาช่วยเหลืองานวัดจนสำเร็จ เขาทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ ในที่สุดถูกขับไล่ออกมาอย่างเป็นทางการเพราะทำดีเกินไป  คือเรียกว่าทำดีไม่เป็น แต่เราก็ไม่ได้ยึดในสิ่งนั้น เรามีสิ่งใหม่ ๆ ทำเสมอที่เป็นบุญเป็นกุศล  การทำความดีไม่มีทางตัน  เพราะบุญมีตั้ง ๑๐ ประเภท ไม่เฉพาะต้องทำที่วัด สวดมนต์  ภาวนาและฟังธรรมอยู่ที่บ้านก็ได้บุญเช่นกัน

นี่ไงถึงว่าแปลก  เราเข้าใจเรื่องกรรมและวิบากกรรม เรายอมแพ้วิบากกรรมเพราะไม่มีทางเลี่ยงได้เลย ในงานนี้เราได้เจอคนเก่าแก่  ที่เคยรู้จักกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ (วันงาน)  เขาก็ยังดีกับเราอยู่เหมือนเดิม มันก็เป็นเรื่องแปลกที่สุดก็ว่าได้  เธอช่างเป็นคนดีมีคุณธรรม เพรียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาท อ่อนน้อมสม่ำเสมอ พูดก็ไพเราะน่ารักไปหมด แถมยังเป็นคนสวยและมีบุคคลิกดี  ความที่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีมารยาทดี เป็นคนมีอุปนิสัยดีเสมอต้นเสมอปลาย  จึงทำให้เธอเป็นคนดูสง่างามกว่าคนอื่น ๆ  เธอชื่อ "อำนวย" นามสกุลฉันจำไม่ได้แล้วเพราะเธอใช้นามสกุลใหม่

งานนี้มีคนที่ไปทำบุญเยอะมาก ส่วนจะได้บุญจริง ๆ นั้นคิดว่าน้อยมาก ๆ เพราะอะไร...เพราะกุศลจิตจะเกิดได้นั้น  จิตจะต้องสงบจากกามคุณ ๕ ไม่ติดข้องยินดีพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส  อย่างเช่นขณะพระสงฆ์กำลังเทศน์ บ้างก็สนทนากัน ชวนกันซุบซิบนินทาคนอื่น บ้างก็กินไปฟังพระเทศน์ไปด้วย จิตไม่ได้น้อมพระธรรมเข้ามาข้างในเลย  จิตมัวแต่ไปอยู่ข้างนอก ไม่มีทางเลยที่กุศลจิตจะเกิดได้ในขณะนั้น นั่งฟังเทศน์ทั้งวันได้อกุศลกลับบ้าน แถมทำบุญเยอะแยะ  คิดว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยเงินทอง กลับเป็นอกุศลหมด เพราะจิตไม่สามารถแยก  อะไรคือกุศลหรืออกุศล การทำบุญต้องประกอบด้วยปัญญา  คนเราถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง   คน ๆ นั้นก็จะรู้จักมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  จะรู้จักความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ ๆ  ทุกคนมีกรรมมีวิบากเป็นของ ๆ ตน ไม่ต่างกันเลย ความแปลกและความต่างมันอยูที่จิตใจมีคุณธรรมหรือไม่  คนมีศีลธรรมคุณธรรมหาได้ยากมาก  ในสังคมปัจจุบันนี้ เพราะการที่จะได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากผู้แสดงธรรมได้อย่างถูกต้องนั้น  หาได้ยากยิ่ง  การศึกษาผิด ๆ  ทำให้วางใจไว้ผิด ๆ ได้  จิตไม่สามารถออกจากความมืดบอดได้  จึงหลงติดอยู่กับความมืดบอด  เพราะคิดว่านั้นคือความสว่าง หลงยึดโลกธรรม หลงยึดสมมติบัญญัติ หลงคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลย  ตราบใดที่สติปัญญาทางธรรมยังไม่เกิด  ตราบนั้นก็ยังมืดอยู่นั่นเอง

สรุปแล้วการไปทำบุญของฉันวันนี้  ก็ไม่ได้บุญเช่นกัน  อยู่บ้านฟังธรรม สวดมนต์ ฝึกเจริญสติ  สะสมกุศลวันละเล็กละน้อย จะดีกว่าไปหวังบุญจากการไปทำร่วมกับคนมากมาย  แต่ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่ง  ก็เป็นการส่งเสริมและจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป  เราก็ควรที่จะไปร่วมงานบุญตามกาลบ้าง สำหรับเรื่องแปลกแต่จริงวันนี้  ก็ขอจบแค่นี้จ๊ะ ขอให้ท่านผู้อ่านจงมีความสุขกายสุขใจด้วยการมีธรรมะเป็นที่พึงเถิด